BH ยืนยันพัฒนาการด้านบวก (22 ส.ค. 2565)

BH ยืนยันพัฒนาการด้านบวก (22 ส.ค. 2565)

ธุรกิจฟื้นตัวเร็วเกินคาดตั้งแต่ 1H65 จากข้อมูลที่ได้รับในการประชุมนักวิเคราะห์ เราเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของ BH ซึ่งสอดคล้องกับการปรับเพิ่มประมาณการกำไรของเราในบทวิเคราะห์ฉบับวันที่ 15 สิงหาคม

ซึ่งเมื่ออิงจากผลการดำเนินงานใน 2Q65 กำไรสุทธิของ BH ออกมาน่าประทับใจที่ 1.17 พันล้านบาท (+438.6%YoY, +60.8% QoQ) ส่งผลให้กำไรสุทธิในงวด 1H65 อยู่ที่ 1.89 พันล้านบาท (+514.8% YoY) (Figure1) โดยในช่วง 2Q65 utilization ของ BH อยู่ที่ 60% ของ capacity รวมที่คิดจากจำนวนผู้ป่วย 5,000 รายต่อวัน นอกจากนี้ แนวโน้มของอัตราส่วนลดที่ให้กับผู้ป่วยยังลดลงจาก 17% ในปี 2564 เหลือเพียง 13%ใน 2Q65 (Figure 5) สะท้อนว่าโมเมนตัมเชิงบวกของ BH เร่งตัวขึ้นจากการอยู่ในตลาด premium และมีอุปสงค์ที่เกิดจากการชะลอการรักษามาก่อนหน้านี้ (pent-up demand) หลังผ่านช่วงที่สถานการณ์โรคระบาดรุนแรงมาแล้ว ทั้งนี้ สัญชาติของผู้ป่วยที่มาใช้บริการ 5 อันดับแรกยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้ป่วยชาวไทยยังคงมีสัดส่วนสูงที่สุดที่ 38% ของรายได้รวม รองลงมาคือ เมียนมาร์(10%) กัมพูชา (6%) กาตาร์ (5%) และคูเวต (5%) ทั้งนี้ จำนวนผู้ป่วยจากตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นจากประมาณ 45-50 รายต่อวันก่อนเกิดโรคระบาดมาเป็นมากกว่า 100 รายต่อวัน (ประมาณ 143 รายในสัปดาห์ที่แล้ว) นอกจากนี้ BH ยังประสบความสำเร็จในการคุมค่าใช้จ่าย SG&A ดังจะเห็นได้จากสัดส่วน SG&A/รายได้ที่ค่อนข้างต่ำใน 2Q65 ที่ประมาณ 18%

การขายหุ้น big lot ของผู้ถือหุ้นใหญ่

นายสาธิต วิทยากร อดีตผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เคยถือหุ้นใน BH 17.64% ได้ขายหุ้นออกไป 66.8 ล้านหุ้นและได้เงินมา 1.19 หมื่นล้านบาท โดยราคาขายต่ำสุดอยู่ที่ 178 บาท ทั้งนี้ เขาได้ขายหุ้น 9% ใน BH ออกไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ด้วย เราคิดว่าปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ BH ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพราะ BH ยังคงรักษา competency หลักในส่วนของการให้บริการรักษาโรคที่มี intensity สูงโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเอาไว้ได้ นอกจากนี้ เราคิดว่า BH สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อได้ จากการให้บริการรักษาพยาบาลที่แตกต่างและล้ำหน้ากว่าโรงพยาบาลอื่น ๆ

 

คงประมาณการกำไรเอาไว้เท่าเดิม

จากผลประกอบการของ BH ที่ออกมาดีเกินคาดอย่างมากใน 1H65 และแนวโน้มที่ดูสดใสมากขึ้น เราจึงมองบวกกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัทในระยะยาว โดยปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของกำไร ได้แก่ i) จำนวนผู้ป่ วยต่างชาติฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง (น่าจะเกินกว่าระดับก่อน COVID ระบาดที่ 65%) ii) margin เพิ่มขึ้น และ iii) การขยายไปยังทำเลใหม่ในอีกห้าปีข้างหน้า ดังนั้น เราจึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2565F ไว้ที่ 3.09 พันล้านบาท (+154.2% YoY) และปี 2566F ที่ 4.09 พันล้านบาท (+32.4% YoY)

 

Valuation & Action
 

เรายังคงมองบวกกับแนวโน้มผลประกอบการของบริษัท  ดังนั้น เราจึงยังคงคำแนะนำ ซื้อ และประเมินราคาเป้าหมาย DCF ปี 2566 ที่ 225 บาท (ใช้ WACC ที่ 8.2% และ TG ที่ 3%)

 

Risks
 

COVID-19 ระบาด, การแทรกแซงของรัฐบาล, เกิดเหตุก่อการร้ายครั้งใหญ่