TIDLOR เน้นคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งพร้อมกันการโตสินเชื่อในอัตราเร่ง

TIDLOR เน้นคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งพร้อมกันการโตสินเชื่อในอัตราเร่ง

หลังจากที่สินเชื่อขยายตัวอย่างแข็งแกร่งถึง 8% QoQ, +15% YTD, +28% YoY ใน 2Q65 TIDLOR จึงมองบวกมากขึ้นกับแนวโน้มสินเชื่อใน 2H65 และปรับเพิ่มเป้าอัตราการเติบโตของสินเชื่อปีนี้เป็น 25-28% โดยคาดว่าจะยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องในปี 2566

ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มสมมติฐานอัตราการเติบโตของสินเชื่อปี 2565/2566/2567 เป็น 25%/20%/20% (จากเดิมที่คาดไว้ที่ปีละ 15%) เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าของบริษัท ทั้งนี้ สินเชื่อที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อจำนำทะเบียนรถบรรทุก และรถยนต์ รวมถึงการใช้บัตรติดล้อเป็นวงเงินสำหรับสินเชื่อจำนำทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ บริษัทเปิดเผยว่าบัตรติดล้อเจาะตลาดไปได้แล้วถึง 70% ของลูกค้าสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ มอเตอร์ไซค์ และประมาณ 30% ของลูกค้าสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์

 

NPL ยังสูงอยู่ ทำให้ credit cost เพิ่มขึ้น

หลังจาก NPL เร่งตัวขึ้นถึง 19% QoQ และ 15% YoY ใน 2Q65 บริษัทคาดว่า NPL จะเพิ่มขึ้นไปอีกระยะหนึ่ง และจะทำให้ credit cost เพิ่มขึ้นเป็น 190bps (จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ที่ <150bps) จาก 160bps ใน 2Q65, 125bps ใน 1H65 และ 140bps ในปี 2564 ทั้งนี้ credit cost ที่สูงดังกล่าวรวมผลขาดทุนจากการขายรถที่ยึดมาด้วยแล้ว ในขณะที่บริษัทยังคงตั้งเป้าจะรักษาสัดส่วน NPL coverage เอาไว้ที่ >300%

 

 

 

 

 

ปรับลดกำไรปี 2565/2566 ลง 7%/2% และขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2566F ที่ 37 บาท (PE 20x)

เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2565/2566 ลงเพื่อสะท้อนถึง 1) การปรับเพิ่มสมมติฐานอัตราการเติบโตของสินเชื่อปี 2565/2566/2567 เป็น 25%/20%/20% in 2022/2023/2024 (จากเดิมที่คาดไว้ที่ปีละ 15%) 2)ปรับเพิ่มสมมติฐาน credit cost ในช่วงสามปีข้างหน้าเป็น 160bps/140bps/140bps (จากเดิมที่คาดไว้ที่ปีละ 120bps) ถึงแม้บริษัทจะคาดว่า NPL และ credit cost จะเพิ่มขึ้น แต่เราไม่ได้มองเป็นลบไปทั้งหมด เพราะการกำหนด credit cost สูงดังกล่าวรวมผลขาดทุนจากการขายรถ/หลักทรัพย์ค้ำประกันที่ยึดมาด้วยแล้ว และ credit cost ที่ระดับนี้จะทำให้มั่นใจว่าสัดส่วน NPL ratio จะยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยที่สัดส่วน NPL coverage ยังสูงกว่า 300% ซึ่งเรามองว่าสัดส่วน NPL coverage ที่ระดับนี้จะทำให้
บริษัทสามารถรักษาส่วนรองรับหนี้เสียเอาไว้ได้ในระดับสูง ดังจะเห็นได้จากสัดส่วน LLR/สินเชื่อที่สูงถึงประมาณ 4% (ในขณะที่ของ MTC และ SAWAD <2%) เราขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2566F ที่ 37 บาท (เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 36.75 บาท) โดยอิงจาก PE ปี 2566 ที่ 20x เรายังคงคำแนะนำซื้อ โดยราคาเป้าหมายที่ขยับขึ้นเล็กน้อยสะท้อนถึงผลจาก dilution ที่ 8% จากการจ่ายหุ้นปันผลไปเรียบร้อยแล้ว

 

Risks

ตั้งสำรองเพิ่มขึ้น, สัดส่วน C/I สูงต่อเนื่อง, ค่าธรรมเนียมนายหน้าประกันไม่โตตามคาด