ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (2) ช่องโหว่กฎหมาย กับ อาชญากรรมไร้พรมแดน

ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (2) ช่องโหว่กฎหมาย กับ อาชญากรรมไร้พรมแดน

ขณะที่คนไทยจำนวนมากยังตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ข้อมูลส่วนตัวถูกหลอกใช้ บัญชีธนาคารกลายเป็นเครื่องมือฟอกเงิน และทรัพย์สินนับพันล้านบาทไหลออกนอกประเทศ

….คำถามสำคัญที่ยังไร้คำตอบ ทำไมเราจึงยังจับ “ผู้บงการ” ไม่ได้ ?

ภาพที่เกิดขึ้นซ้ำ จับแต่ปลายแถว ปล่อยตัวการลอยนวล

ในเกือบทุกคดีเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือคดีที่พัวพันกับอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติที่เกิดในไทย ผู้ถูกจับมักเป็น:

  • แรงงานผู้ทำหน้าที่เป็นสะพานให้นายทุนจากเมียนมาหรือกัมพูชา
  • คนไทยที่เปิด “บัญชีม้า” ให้แก๊งหลอกลวง
  • หรือคนไทยผู้รับโอนเงินปลายทางที่ไม่รู้ว่าตนเองเป็นเหยื่อ
  • แต่เมื่อถามหานายทุนใหญ่ หรือผู้ควบคุมศูนย์สแกมเมอร์จากต่างประเทศ กลับไม่มีใครได้รับความผิด หรือแม้แต่ถูกตั้งข้อหาในไทย

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตำรวจไม่ทำงาน แต่อยู่ที่ “กฎหมายไทยยังไม่เอื้อมถึงคนผิด”

อาชญากรรมไซเบอร์เป็นความผิดที่ข้ามพรมแดนโดยธรรมชาติ แต่กฎหมายไทยหลายฉบับ เช่น

  • พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560
  • พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
  • พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551

ยังมีข้อจำกัดในการไล่ตามตัวผู้กระทำผิดที่อยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะในกรณีที่:

  • ประเทศต้นทางของผู้กระทำผิดไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับไทย
  • หรือประเทศต้นทางไม่ “ร่วมมือ” ส่งตัวกลับมาตามคำร้องของไทย
     

สนธิสัญญา INTERPOL กลไกที่ใช้ได้เฉพาะเมื่อ “รัฐเจ้าของพลเมือง” เอาด้วย

การจะจับผู้ต้องหาที่ไม่ว่าจะเป็นชาวจีน เขมร หรือเมียนมา ไทยต้องรอหมายแดง (Red Notice) จาก INTERPOL ที่ออกโดยประเทศต้นทางก่อน

กล่าวคือ:

  • หากจีนต้องการตัวผู้ต้องหา → ไทยสามารถจับและส่งกลับได้ตาม สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนไทย-จีน ปี 2536
  • แต่ถ้าผู้กระทำผิดชาวจีนอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่ร่วมมือ เช่น เมียนมา หรือกัมพูชา → ไทยก็ไม่มีอำนาจไล่ล่าหรือขอส่งตัวได้อย่างทันท่วงที หรืออย่างมีประสิทธิภาพ

แม้เหยื่อจะเป็นคนไทย เงินจะไหลออกจากบัญชีในไทย และความเสียหายเกิดขึ้นชัดเจนในไทย แต่ “กฎหมายไทยไปไม่ถึงตัวการที่แท้จริง” ซึ่งอยู่ต่างประเทศ หากไม่มีความร่วมมือเชิงนโยบายของรัฐบาลแต่ละประเทศ

ตัวอย่างชัดเจนคือ การเปลี่ยนแปลงสัญชาติกระทันหัน เช่น สัญชาติกัมพูชาที่ได้มาด้วย “เงินบริจาค”

กรณีหากอาชญากรจีนเทาใช้เงิน 7.5 ล้านบาท (ราว 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ) ทำการบริจาคให้รัฐบาลกัมพูชา เพื่อแลกกับหนังสือสัญชาติกัมพูชา กลายเป็นการล้างตัวเอง ล้างความผิดทางกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อได้สัญชาติใหม่แล้ว คนกลุ่มนี้:

  • ไม่ถูกจัดว่าเป็น “บุคคลต่างด้าว” ในกัมพูชาอีกต่อไป
  • ไม่สามารถส่งตัวกลับจีนได้ หากจีนไม่ร้องขอ จนกระทั่งทำให้ไทยเราไม่มีสิทธิ์ทางกฎหมายในการเข้าไปจับกุมอาชญากรจีนในประเทศนั้นได้อีก

โครงสร้างกฎหมายที่ “ตัดตอน” ความยุติธรรม

  • ไทยมีสิทธิตามจับเฉพาะ “คนตัวเล็ก หรือ คนรับงานปลายทาง” ที่อยู่ในไทย
  • จีนมีสิทธิขอส่งกลับ “คนของตน” ได้เสมอ เมื่อทำการออกหมายแดง
  • แต่หากอาชญากรไปหลบอยู่ในประเทศที่ไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับไทย เช่น กัมพูชา หรือบางพื้นที่ของเมียนมา ไทยก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการ “เฝ้าดู” ผ่านรายงานข่าวจากจีน พม่า หรือกัมพูชา แต่ถ้าหากพวกเขาไม่แม้กระทั่งจะรายงาน ?

นั่นกลายเป็นว่า ระบบกฎหมายระหว่างประเทศคุ้มครองคนผิดได้ง่ายยิ่งกว่าการปอกกล้วยเข้าปาก…หากระบบกฎหมายไทยยังคงอิงกับการรอหมายแดงจากต่างชาติ, ยังตามทุนเทาที่ล้างตัวผ่านสัญชาติอื่นไม่ทัน, และยังเลือกดำเนินคดีกับปลายแถวมากกว่าต้นตอของอาชญากรรม

คำว่า “ความยุติธรรม” จะกลายเป็นเพียง สิทธิของผู้มีอำนาจรัฐ และการลงทุน ไม่ใช่ของประชาชน

คำถามวันนี้จึงไม่ใช่แค่ “ใครโกงเรา ?”

แต่คือ “ระบบไหนที่ทำให้คนโกงยังลอยนวล ?”

“เมื่อความเงียบคือข้อตกลงที่ทำให้ความเสียหาย กลายมาเป็นความรับผิดของประชาชน”

ขณะที่เราต่างตื่นขึ้นมาพร้อมข้อความหลอกลวงในมือถือ และเสียงปลายสายที่แสร้งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ…คำถามง่ายๆ กลับไม่มีคำตอบชัดเจนเลยสักข้อเดียว

“ใครคือผู้ได้ประโยชน์จากการที่ประชาชนถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ?”

เราถูกสอนให้ระวังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ไม่เคยมีใครสอนให้เราตั้งคำถามต่อระบบที่ปล่อยให้บัญชีม้าฝาก–ถอนได้อย่างเสรี ทั้งที่หน่วยงานรัฐก็ทราบดีว่าเงินทุนในการจ้างเปิดบัญชีม้าด้วยธนาคารไทยนั้นมาจากเงินทุนอีกฟากหนึ่งของประเทศที่กั้นแบ่งด้วยกฎหมายและอธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้าน

แล้วธนาคารรู้ไหม?
“รู้ ” 

รู้แล้วทำไมยังไม่ปิดบัญชี ?                                                                                          

เพราะยังไม่มี "การยืนยันจากตำรวจ"

ในประเทศที่ประชาชนต้องแจ้งความก่อนธนาคารจึงจะ “อนุญาตให้หยุดโกง” เรายังกล้าเรียกมันว่าระบบ “ป้องกันอาชญากรรม” อยู่หรือไม่ ? เมื่อศาลยังรอรายงาน ตำรวจยังรอสำนวน และบัญชีม้ายังหมุนเงินอย่างลื่นไหล

ถึงที่สุดแล้ว ประชาชนอย่างเราก็ได้แต่เฝ้าดูทุนต่างชาติโอนเงินออกนอกประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย คำถามคือ ในเมื่อเรารู้แล้วว่า “ใครโกง” และ “ใครปล่อยให้โกง” แต่ไม่เคยมีใครรับผิด... แล้วเรายังเชื่อหรือว่ากฎหมายอยู่ข้างประชาชน ?

ใครได้ประโยชน์บ้างจากความเงียบของรัฐ ?                                                             

ถ้าคุณเคยมีญาติถูกหลอกโอนเงินให้ “ตำรวจปลอม” หรือเคยถูกโทรหลอกให้กด 9 เพื่อยืนยันพัสดุจากหน่วยงานรัฐ คุณอาจเป็นเพียงหนึ่งในหลายแสนคนที่ถูกล่าโดยอาชญากรข้ามชาติที่อาศัยระบบการเงินไทยเป็นเครื่องมือ และใช้ความเงียบของรัฐไทยเป็นเกราะกำบัง

ภายในความเสียหายกว่า 77,360 ล้านบาท คือยอดความเสียหายต่อปีที่เกิดขึ้นจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คำถามสำคัญไม่ใช่แค่ว่า ใครหลอกลวง? แต่

“ ใครปล่อยให้มีการหลองล

วงเกิดขึ้น และใครคือผู้ได้ประโยชน์จากการปล่อย ? ”

บัญชีม้า: ประตูสีเทาที่ธนาคารรู้แต่ไม่เคยปิดสนิท

คำว่าบัญชีม้าอาจฟังดูไกลตัว แต่แท้จริงคือจุดเริ่มต้นของวงจรการหลอกลวงทั้งหมด ทำไมธนาคารจึงไม่ปิดบัญชีทันทีที่พบพฤติกรรมผิดปกติ ? ทำไมต้องรอให้ตำรวจ “แจ้ง” จึงจะอายัดบัญชีได้ ? แล้วถ้าตำรวจไม่รู้ หรือรู้ช้าใครจะรับผิด ?

ขณะที่ประชาชนเสียเงินเป็นล้านในพริบตา ธนาคารบางแห่งยังคงให้บัญชีเหล่านี้ทำธุรกรรมได้ตามปกติ โดยอ้างว่า “ต้องรอเอกสารจากเจ้าหน้าที่” นี่คือระบบที่ธนาคารรับรู้การโจรกรรมแต่ไม่หยุดยั้ง

รัฐบาลไทยได้อะไรจากการให้รัฐบาลจีนรับผู้ต้องหาไป หรือที่จริงแล้ว “การส่งกลับ เท่ากับ การปล่อย” ???

เมื่อตำรวจไทยจับได้ว่าผู้กระทำผิดคือชาวจีน แต่บ่อยครั้งเรากลับพบข่าวว่า “รัฐไทยส่งผู้ต้องหาให้จีนดำเนินคดีตามสนธิสัญญา” ขอถามสั้นๆง่ายๆ ว่า

แล้วไทยเราได้อะไร ?

ได้ตัวนักโทษไว้รับโทษเองหรือไม่ ?

ได้ค่าเสียหายชดเชยให้ประชาชนหรือไม่ ?

หรือแค่ส่งคืนแบบ “เรื่องจบ” แต่ประชาชนยังต้องผ่อนหนี้ที่โดนหลอกด้วยตัวเอง ?

หลายต่อหลายคดีที่ปรากฏต่อสื่อไทยเรา กระบวนการหลอกลวงออนไลน์ และปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ล้วนโยงไปยังกลุ่มที่เรียกว่า “ทุนจีนเทา” ที่เข้ามาในไทยแบบถูกกฎหมาย แล้วนำเงินออกนอกประเทศไปแบบไม่ถูกตราหน้าว่า “ทำผิดกฎหมาย” ผ่านบริษัทบังหน้า หรือธุรกิจสีเทาในกัมพูชา ลาว เมียนมา ก่อนจะวกกลับเข้ามาหลอกคนไทยผ่านบัญชีในไทย ซิมไทย บัญชีไทย ระบบธนาคารไทย

ครั้นเมื่อเงินถูกโอนออกนอกประเทศแล้ว รัฐไทยกลับตีหน้าซื่อว่า “เราพยามหยุดแล้ว” แต่มัน “หยุดไม่ได้ ไล่ไม่ทัน” ครั้นเหยื่อชาวไทยอย่างเราเมื่อจะรู้ตัวว่าโดนหลอกได้ เงินในบัญชีไทยของพวกเราคนไทยก็ไปอยู่ในบัญชีโจรอีกฟากฝั่งของอีกประเทศเสียแล้ว….

รติ รัตนสวัสดิ์  คอลัมนิสต์ด้านความไม่ยุติธรรมทางกฎหมาย นำเสนอซีรีส์บทความที่จะทำให้คนไทยเข้าใจปัญหาคอลเซ็นเตอร์ และการหลอกลวงออนไลน์ที่เกาะกินคนไทยมานาน เปิดเผยถึงความสัมพันธ์ลับระหว่างไทยกับจีนในอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์

แหล่งอ้างอิง:

สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทย-จีน (1993):

ายงานพิเศษ "ทุนสีเทา" โดย The101.world:

ฐานข้อมูลกรมราชทัณฑ์:

https://www.interpol.int/en/How-we-work/Notices/View-Red-Notices

https://www.hrw.org/

https://theactive.thaipbs.or.th/data/refugee

https://thestandard.co/china-40-illegal-migrants/

https://www.amnesty.or.th/blog/2025/03/amnesty-thailand-uyghurs-human-rights/

https://news.pts.org.tw/article/740005

https://www.isranews.org/article/isranews-scoop/136060-isranews-TorPorthorr.html

https://www.bbc.com/thai/articles/cj677j4r6jno