ดัชนีเชื่อมั่น RSI ก.พ.2568 ‘ท้อแท้-กังวล’ แต่ก็ยังมีหวังอยู่นิดๆ

ดัชนีเชื่อมั่น RSI ก.พ.2568 ‘ท้อแท้-กังวล’ แต่ก็ยังมีหวังอยู่นิดๆ

ผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีก (ความร่วมมือระหว่าง สมาคมผู้ค้าปลีกไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย) ประจำเดือน ก.พ.2568 พบว่า

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก ติดลบจากระดับที่ 47.3 จุด เดือน ม.ค. มาอยู่ที่ 41.2 ในเดือน ก.พ. ลดลง 6.1 จุด โดยปรับลดลงทุกองค์ประกอบ ทุกภูมิภาค และเกือบทุกประเภทของร้านค้า ซึ่งเป็นการลดลงมากกว่าคาดหมาย ส่วนหนึ่งจากกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังอยู่ในระดับต่ำ

ความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 50.0 จุด ในเดือน ม.ค. มาเป็น 51.5 จุด ในเดือน ก.พ. จากความหวังเล็กๆ ต่อโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 (10,000 บาท) เฟส 3 กล่าวโดยสรุป ดัชนีความเชื่อมั่น RSI เดือน ก.พ. 2568 “ท้อแท้-กังวล แต่ก็ยังมีความหวังอยู่นิดๆ”

ขณะที่ มาตรการ Easy E-receipt มีผลต่อยอดขายอย่างจำกัด! โดยธุรกิจค้าปลีกกว่า 50% ประเมินว่ายอดขายใน Q1/2568 (รวมผลของมาตรการ) จะใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน และมีเพียง 1ใน5 ที่คาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น แต่ไม่เกิน 10% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มห้างสรรพสินค้า ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก ด้านสภาพคล่องของธุรกิจค้าปลีกในภาพรวมยังบริหารจัดการได้ โดยระยะเวลาการรับชำระค่าสินค้าจากลูกค้า และระยะเวลาการจ่ายค่าสินค้าแก่คู่ค้า (Credit Term) ในช่วง H2/2567 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากช่วง H1/2567 อย่างมีนัยสำคัญ

ภาพรวมเดือน ก.พ.2568 เป็นอย่างไร

ในภาพรวมพบว่า ดัชนี RSI เดือน ก.พ.2568 ลดลง 6.1 จุด เทียบเดือน ม.ค.2568 โดยปรับลดลงชัดเจนในองค์ประกอบของยอดใช้จ่ายต่อใบเสร็จ (Shpping Per Basket) และความถี่ในการใช้บริการ (Frequency of Shopping) เมื่อเปรียบเทียบในรายละเอียดเดือน ม.ค.2568 ต่อเดือน ธ.ค.2567 เราจะพบว่า

SSSG (MoM) ลดลงจาก 46.0 จุด เป็น 45.6 = ลดลง 0.4 จุด

Spending Per Bill ลดลงจาก 48.4 จุด เป็น 39.0 = ลดลง 9.4 จุด

Frequency of Shopping ลดลงจาก 47.6 จุด เป็น 39.0 = ลดลง 8.6 จุด

สะท้อนถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคมีสัญญาณอ่อนแอลง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy E-Receipt ไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้เกิดการจับจ่ายเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังการจับจ่ายและกังวลถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ที่อาจส่งผลในอนาคตอันใกล้

อีกทั้ง ดัชนียังลดลงทุกภูมิภาคและทุกประเภทของร้านค้า ยกเว้นร้านค้าประเภทห้างสรรพสินค้า แฟชั่นและความงาม ซึ่งเป็นการลดลงขององค์ประกอบดังกล่าวมากกว่าที่คาดหมาย กำลังซื้อผู้บริโภคฐานล่างซึ่งอ่อนแออยู่ก็ไม่ได้ดีขึ้น และลามถึงกำลังซื้อกลุ่มรายได้กลางขึ้นบนอย่างชัดเจน ซึ่งกลุ่มนี้ ปีที่ผ่านมายังคงมีกำลังซื้ออยู่ ข้ามปีมาเริ่มมีพฤติกรรมที่ระมัดระวังในการใช้จ่ายอย่างเห็นได้ชัด 

สะท้อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ Easy E-Receipt ที่พุ่งเป้าไปยังกลุ่มนี้ ไม่ปัง...ดังคาด ยอดขายใกล้เคียงเมื่อเทียบปีที่แล้ว ขณะที่ร้านค้ามีความพร้อมกว่าปีที่แล้วมาก สะท้อนถึงกำลังซื้อกลุ่มผู้มีรายได้ประจำเริ่มแสดงสัญญาณอ่อนตัวลง อีกทั้ง มาตรการ Easy E-Recipt ปีนี้ 2568 กำหนดให้วงเงิน 50,000 บาทเหมือนกัน แต่แบ่งเป็น 2 ก้อน คือ ซื้อสินค้าทั่วไปลดลงเหลือ 30,000 บาท และแบ่งส่วนที่เหลือ 20,000 บาท ให้ไปซื้อสินค้า OTOP (ที่ต้องผ่านการรับรองจากกรมพัฒนาชุมชน) และซื้อสินค้าจากร้านค้าวิสาหกิจชุมชน และร้านค้าวิสาหกิจเพื่อสังคม (ซึ่งหายากมาก)

ประเด็นเพิ่มเติมประจำเดือน ก.พ.

ประเมินผลของมาตรการ Easy E-Receipt ปี 2568 เทียบปี 2567 พบยอดขายในช่วง 45 วันของมาตรการ Easy E-Receipt ปี 2568 ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปี 2567 แต่เมื่อพิจารณารายละเอียดตามภาพ จะพบว่า ผู้ประกอบการกว่า 56% ระบุ ยอดขายใกล้เคียงเดิม ทั้งๆ ที่ปีนี้ร้านค้ามีความพร้อมเตรียมรับมาตรการมากกว่า และมีเพียง 21% ที่คาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น แต่ไม่เกิน 10% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มห้างสรรพสินค้า ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก

ดัชนีเชื่อมั่น RSI ก.พ.2568 ‘ท้อแท้-กังวล’ แต่ก็ยังมีหวังอยู่นิดๆ

Digital Wallet เฟส 3 มากระตุ้นช่วงนี้ดีไหม?

จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก RSI ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องมา 2 เดือนทั้งๆ ที่ยังอยู่ช่วงต้นปี สะท้อนถึงกำลังซื้อที่ถดถอย และความเชื่อมั่นลดลง การออกมาตรการ Digital Wallet 10,000 บาท ที่ยังมีประชาชนที่ใช้สิทธิเหลืออยู่ 14.5 ล้านคน นับว่าเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประโยชน์ระดับหนึ่งแม้จะเป็นการกระตุ้นช่วงสั้นๆ แต่ก็น่าจะฟื้นการจับจ่ายได้บ้าง

อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 10 มี.ค. “บอร์ดเศรษฐกิจ” เคาะแจกเงินหมื่นเฟส 3 วัยรุ่น 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน กำหนดเริ่มช่วงปลายไตรมาส 2​ หรือ​ ต้นไตรมาส 3​ โดยให้เหตุผลว่า ประชากรวัย 16-20 ปี เป็นกลุ่มที่ไม่มีข้อจำกัดการรับรู้เรื่องเทคโนโลยี

ซึ่งผู้เขียนกลับมีความเห็นว่า โครงการ Digital Wallet ไม่ได้มีปัญหา หรือ ข้อจำกัดการใช้ของประชาชน ปัญหาหลักอยู่ที่พ่อค้าแม่ค้า ร้านค้าต่างๆ ในการรับ Digital Wallet ที่ต้องมีการหมุนของ Digital Wallet มากกว่า 1 รอบ ซับซ้อนกว่าระบบ “คนละครึ่ง” และขั้นตอนในการลงทะเบียนร้านค้ามีมากกว่า อีกทั้งการมาซอยย่อย เฟส 3 เป็น เฟส 3.1 รองรับประชาชนแค่ 2.7 ล้านคนหรือเม็ดเงินเข้าระบบเพียง 27,000 ล้านบาท ซึ่งจะมี Impact น้อยกว่าที่จะใช้เฟส 3 พร้อมกันทีเดียว 1.45 แสนล้านบาท ตามประโยคโบราณที่ว่า “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” น่าจะดีกว่าไหม !!!!!!!!!