ค้าปลีกและบริการ ปี 2568'4 ความหวัง 5 ความกังวล'

ค้าปลีกและบริการ ปี 2568'4 ความหวัง 5 ความกังวล'

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน มิได้ผูกพันเป็นความเห็นขององค์กรที่สังกัด ปี 2567 เป็นปีที่น่าผิดหวังสำหรับธุรกิจการค้าปลีกค้าส่งและบริการที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก RSI เพิ่มขึ้นเหนือระดับค่ากลางที่ 50 จุด เพียงเดือนเดียวคือ ม.ค. จากนั้น ดัชนี RSI ก็ซึมลึกซึมยาวต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี ต่ำกว่าค่ากลาง 50 จุด

คำถามของผู้ประกอบการปีนี้ คือ “ยังพอมีความหวังกับเรื่องอะไรได้บ้าง” จากเหตุผลข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ผู้เขียนมองว่ายังมีอยู่ 4 เรื่อง ที่ยังพอมีความหวังหรือปัจจัยบวกแม้ว่าจะแผ่วๆ ในการขับเคลื่อนการบริโภคภาคค้าปลีกในปี 2568 ขณะเดียวกัน ก็ยังมีข้อกังวล หรือ ปัจจัยลบที่อาจทำให้การบริโภคภาคค้าปลีกไม่เติบโตเท่าที่ควรอีก 4 ข้อกังวลเช่นกัน

“4 ความหวัง-5 ความกังวล”

“4 ความหวัง ที่ไม่คาดหวัง”

1.หวังว่า...โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ปี 2568 ต่อเนื่องและตรงเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นการบริโภคผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการตลอดปี 2568 โครงการ ช้อปดีมีคืน 2568 (อาจจะใช้ชื่ออื่น) มาตรการลดค่าครองชีพ รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้และแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ

2.หวังว่า...รัฐบาลเร่งรัดการเบิกจ่ายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เนื่องจากการจัดทำงบประมาณปี 2568 ไม่ล่าช้าเหมือนปี 2567 งบรายจ่ายลงทุนภาครัฐ ปี 2568 ที่ตั้งไว้ 960,000 ล้านบาท ต้องพยายามให้อัตราการเบิกจ่ายจริงและต่อเนื่อง

3.หวังว่า...รัฐมีแผนเร่งรัดกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน คือ ต้องให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ นำไปสู่การจ้างงานและการสร้างงานอย่างต่อเนื่องให้กับประชาชนได้เป็นจำนวนมาก ด้วยการจัดการกับปัญหาโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจอย่างจริงจัง และเร่งดึงดูดการลงทุนตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) ซึ่งจะเป็นกุญแจดอกสำคัญในการจ้างงานและสร้างรายได้ให้ประชาชน

4.หวังว่า...การท่องเที่ยวมุ่งเน้นกลุ่ม Luxury + Experience Style เมื่อพิจารณาด้าน Supply เรามีความพร้อมสมบูรณ์อย่างเต็มที่ ทั้งคน ทั้งสถานที่ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ที่ติดอันดับต้นๆ ของโลก กระบวนการเหล่านี้ประเทศไทยทำได้ดีมากอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยังไม่สามารถเติมเต็มความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว ก็คือ ราคาสินค้ายังไม่สามารถนำมาสู่การด้านเปรียบทางการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียได้ ภาครัฐต้องมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวให้ได้ตลอดทั้งปีและมาใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น อาทิ มาตรการลดภาษีนำเข้าสินค้า Luxury และ Lifestyle เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ

“5 ข้อกังวล จนน่าวิตก”

1.กังวลว่า...รายได้ภาคการท่องเที่ยวยากที่จะเป็นไปตามเป้า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศปี 2567 น่าจะอยู่ที่ 35 ล้านคน ห่างจากช่วงก่อนเจอสถานการณ์โควิด-19 ราว 5-6 ล้านคน อย่างไรก็ตามการใช้จ่ายน่าอยู่ที่ 47,000-48,000 บาทต่อคนต่อทริป เท่านั้น น้อยกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ที่สูงมากกว่า 52,000 บาทต่อคนต่อทริป เป้าหมายรายได้รวมการท่องเที่ยวในปี 2568 อยู่ที่ประมาณ “2.8 ล้านล้านบาท” ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน เติบโต 7.5% จากฐานรายได้จริงตลอดปี 2567 ยังไม่กลับไปแตะระดับ 3 ล้านล้านบาท เท่าปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด

2.กังวลว่า...โจทย์ใหญ่ แก้หนี้ 3 ส่วน ยังติดหล่มฉุดกำลังซื้อ  ซึ่งประกอบด้วย

- หนี้ครัวเรือน คนไทย 25.5 ล้านคน หรือมากกว่า 1 ใน 3 ของประชากรไทย มีหนี้ คิดเป็นประมาณ 91% ของ GDP ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ 67% ของบัญชีหนี้เป็นสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต

- หนี้ธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs เนื่องจาก SMEs เป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบเศรษฐกิจ ทั้งในแง่ของมูลค่าผลผลิตและการจ้างงาน สำหรับไทย SMEs มีสัดส่วนคิดเป็น 43% ต่อ GDP และเป็นแหล่งจ้างงานกว่า 14 ล้านคน หรือ 85% ของแรงงานทั้งประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคการค้าและบริการ จากข้อมูลปัจจุบัน ลูกหนี้ SMEs กว่า 5 ล้านบัญชี เป็นมูลค่ากว่า 380,000 ล้านบาท

- หนี้สาธารณะ ข้อมูลหนี้สาธารณะคงค้าง ณ เดือน ก.ย.2567 มีมูลค่ารวมกันอยู่ที่ 63.8% ของ GDP หรือราว 11.6 ล้านล้านบาท และเป็นเงินกู้ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และการบริหารหนี้ 7.3 ล้านล้านบาท

3.กังวลว่า...การปรับค่าแรงขั้นต่ำจะมีรอบ 2 แรงกดดันให้มีการประกาศปรับค่าแรงขั้นต่ำอีกรอบกลางปี เพียงแค่การประกาศค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท แม้ว่าจะไม่ทั่วประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2568 ก็มีผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs คาดการณ์ว่าน่าจะมีผลให้เลิกล้มปิดกิจการไปจำนวนมาก ความกังวลแรกยังไม่จบ ความกังวลที่ 2 ก็ตามมาว่า...จะมีแรงกดดันให้มีการประกาศปรับค่าแรงขั้นต่ำอีกรอบกลางปี ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมธุรกิจให้ต้องเลิกล้มปิดกิจการเป็นจำนวนมาก เกิดแรงงานว่างงานมหาศาล

4.กังวลว่า...ต้นทุนการทำธุรกิจยังมีแนวโน้มปรับขึ้นสูงต่อไป ราคาสินค้าไม่ลด ดอกเบี้ยก็จะยังมีโอกาสเพิ่มสูง ต้นทุนราคาพลังงาน ราคาวัตถุดิบ และการขนส่ง ซึ่งมีแนวโน้มว่าสินค้าราคาแพง สินค้าบางชนิดอาจจะขาดแคลนอีกด้วย รวมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และค่าสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นความท้าทายต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจค้าปลีก เมื่อสินค้ามีราคาแพงขึ้น ก็จะซ้ำเติมกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแออยู่แล้วให้ทรุดลงไปอีก

5.กังวลว่า...การเมืองโลก-การเมืองไทย จะสร้างความปั่นป่วน พลังทรัมป์ 2.0 จะอาละวาด ก่อให้ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศรุนแรงขึ้น โดยผลกระทบจะส่งผลให้ 1) อัตราเงินเฟ้อขยับสูงขึ้น 2) ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น 3) ปัญหาจากการขนส่งขาดช่วง 4) การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งทั้ง 4 เรื่อง กระทบภาคค้าปลีกและบริการ หลักๆ ประเมินว่า จะกระทบกับการจ้างงาน รายได้จะหดตัว กำลังซื้อฟื้นตัวช้า