พีคโควิด

พีคโควิด

โลกต่อสู้กับโควิด-19 มาประมาณปีครึ่งแล้ว  ในช่วงแรกนั้น  ประเทศในเมืองหนาวที่เจริญแล้วและหรือประเทศที่มีวัฒนธรรมแบบตะวันตก

 ที่มักจะอยู่ใกล้ชิดและสัมผัสกันมากต่างก็ประสบกับการระบาดอย่างหนัก  ดังนั้น  พวกเขาจึงต้อง “ต่อสู้” ซึ่งก็พบว่าไม่มีวิธีอื่นที่จะดีไปกว่าการใช้ “อาวุธ” ที่คิดค้นขึ้นด้วยเทคโนโลยี  “ไฮเท็ค” ซึ่งเป็น  “จุดแข็ง” ของมนุษย์ที่สามารถเอาชนะปรากฏการณ์ของ  “ธรรมชาติ”  มากมายมาแล้ว  สิ่งนั้นก็คือ  การผลิต “วัคซีนรุ่นใหม่” ที่สามารถจะทำได้เร็วและมากพอที่จะป้องกันคนไม่ให้ถูกโรคร้ายเข้ามาทำร้ายร่างกายได้

พวกเขารู้ว่า  การ “ป้องกันตัว” โดยการสวมหน้ากากหรืออยู่ห่างกันอย่างที่เรียกว่า “Social Distancing” นั้น  เป็นได้แค่ “มาตรการชั่วคราว” ที่จะชะลอไม่ให้คนติดเชื้อกันเร็วมากจนระบบสาธารณสุขรับไม่ไหว  และก็เป็นไปตามคาด  วัคซีนถูกคิดค้นและผลิตขึ้นอย่างรวดเร็ว  การฉีดให้กับประชาชนเป็นไปอย่างกว้างขวาง  การติดเชื้อโควิดลดลงอย่างรวดเร็ว  หลาย ๆ แห่งยกเลิก “มาตรการชั่วคราว” เช่นการสวมหน้ากากหรือการแยกห่างจากกัน  แน่นอน  โควิดไม่ได้หายไป  ยังมีการติดเชื้อจำนวนไม่น้อยแต่ก็น้อยกว่าช่วงแรกที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนมากอย่างเทียบกันไม่ได้  อย่างไรก็ตาม  คนที่ติดเชื้อก็มักจะเป็นคนที่  “ไม่ยอมฉีดวัคซีน”  หรือยัง “ไม่ถึงคิวฉีด” ซึ่งรวมถึงคนที่อายุยังน้อยเกินไปด้วย  และในกรณีของคนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนซึ่งจะเป็นด้วยเหตุผลใดก็ตาม  รัฐบาลเองก็คงทำอะไรไม่ได้  เพราะนั่นเป็น “สิทธิ” ส่วนบุคคลที่ไม่มีใครมาบังคับได้  ดังนั้น  โรคโควิดจึงน่าจะอยู่กับคนต่อไปและในแทบทุกประเทศ  เรียกว่าเป็น  “โรคประจำถิ่น” เหมือนโรคไข้หวัดใหญ่อื่น ๆ  ถ้าใครไม่ฉีดวัคซีนก็รับความเสี่ยงกันเอง  ไม่ได้เป็นปัญหาของรัฐหรือคนในสังคมที่ป้องกันตัวเองดีแล้วด้วยวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ

กลับมาที่ประเทศไทยและอีกหลาย ๆ ประเทศในเอเซียที่มีอากาศร้อนโดยเฉพาะในประเทศที่ไม่ได้มีวัฒนธรรมการอยู่ใกล้ชิดและสัมผัสกันมากนั้น  ในช่วงแรกของการระบาด  การติดเชื้อโควิดมีน้อยมาก  การต่อสู้กับโควิดที่ไม่ชอบอากาศร้อนดูเหมือนจะทำได้ไม่ยาก  แค่สวมหน้ากาก  อยู่ห่างกัน  กินร้อนและหมั่นเช็ดมือด้วยแอลกอฮอล์ก็ดูเหมือนว่าจะ “เอาอยู่” แล้ว  เห็นได้จากการที่ในบางช่วงนั้น  แทบจะไม่มีคนติดเชื้อเพิ่มเป็นหลายสิบวัน  วัคซีนป้องกันโควิดที่กำลังคิดค้นกันสำหรับบางคนนั้นเป็นแค่  “มาตรการเสริม” ถ้าเราสามารถรักษาสถิติการไม่ติดเชื้อนานพอและป้องกันไม่ให้ชาวต่างชาติที่อาจจะติดเชื้อเข้าประเทศได้  ในที่สุด  โรคก็คงหายไปเอง  ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นอาจจะกำลังคิดถึงโรคซาร์หรือไวรัสตัวร้ายอื่น ๆ ที่เคยเกิดและก็หายไปแล้วโดยไม่ต้องมีวัคซีนเพื่อฉีดป้องกัน  ดังนั้น  เรื่องการเตรียมหาซื้อวัคซีนจึงดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ภารกิจหลักที่สำคัญที่สุดหรือเป็นเรื่อง “ความเป็นความตาย”

แต่ก็เป็นอย่างที่เห็น  “มาตรการทางด้านสังคม” นั้นไม่สามารถเอาชนะโควิดได้  มันแค่ชะลอไม่ให้มันเกิดขึ้นเร็วเกินไปจน  “เอาไม่อยู่” โควิดในไทยและในประเทศเอเชียอื่นอีกหลายประเทศเริ่มระบาดขึ้นใหม่เป็นระลอก ๆ  และทุกครั้งจำนวนผู้ติดเชื้อมักจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ  และนี่ก็น่าจะเป็นเรื่องปกติที่น่าจะคาดการณ์ได้  การกระจายตัวหรือติดต่อกันของไวรัสหรือแม้แต่การกระจายของข่าวสารข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น  ตอนแรกที่มีน้อยก็จะเพิ่มขึ้นช้า  แต่พอกระจายรอบสองรอบสามและต่อ ๆ ไปมันก็จะทวีคูณและมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อในเวลาอันสั้น  โควิดก็เช่นกัน  และไม่ว่าเราจะ “ปิดเมือง” หรือมีมาตรการเข้มข้นแค่ไหน  มันก็เป็นได้แค่  “มาตรการชั่วคราว” ที่จะชะลอไม่ให้ระบบสาธารณสุข “ล่มสลาย” ดูแลคนป่วยไม่ไหว  แต่การปิดธุรกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ  นั้น  มี “ต้นทุน” มหาศาล  เวลา 1 เดือนอาจจะทำให้เศรษฐกิจเสียหายเป็นแสนล้านบาท  คนที่ “เดือดร้อน” นั้นมักจะเป็นคนที่อยู่ใน “ระดับล่าง” ของสังคม  พวกเขาคล้าย ๆ  จะต้องเลือกว่า “จะอดตายหรือเป็นโรคตาย” ความไม่พอใจในการจัดการโควิดของรัฐบาลขึ้นสู่จุดสูงสุด

เราเริ่มรู้ว่าการได้รับวัคซีนป้องกันโควิดคือ “วิธีเดียว” ที่จะพาประเทศออกจากวิกฤตครั้งนี้ได้ก็ต่อเมื่อมันสายไปพอสมควรแล้ว  เพราะวัคซีนที่เราวางแผนที่จะได้มาในตอนแรกนั้น  มาช้าและน้อยกว่าที่คาดไว้  ประกอบกับการที่โควิดมาเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คิดไว้มาก   ผลก็คือ  ทุกอย่าง  “โกลาหล” ระบบสาธารณสุขที่มีอยู่รองรับไม่ไหว  ภาพของคนป่วยที่ต้องรอเตียงจนตายกลายเป็นเรื่องปกติ  คนดังที่ติดโควิดโดยไม่รู้ว่ามาจากไหนเต็มไปหมด  ผู้คนทั่วไปรวมถึงคนที่ “แทบไม่ได้ออกไปไหน” ก็ยัง “ผวา” ว่าวันหนึ่งตนเองก็อาจจะติดโรคด้วย  การจัดการเรื่องโควิดที่ไทยเคยได้รับการจัดอันดับว่าทำได้ดีในระดับต้น ๆ ของโลกในช่วงแรก  ตกลงมาเป็นประเทศท้าย ๆ    ถึงเวลานี้เอกชนเฉพาะอย่างยิ่งกิจการขนาดใหญ่ทั้งหลายต่างก็อยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป  พวกเขาเรียกร้องที่จะเข้ามาช่วยหาวัคซีนโดยเฉพาะที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูงเพื่อฉีดให้กับพนักงานหรือลูกค้าของตนที่กำลังต้องการวัคซีนอย่างรีบด่วน  แต่กว่าจะได้รับการ “อนุมัติ” หรือ  “เปิดทางสะดวก” ก็ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่  “มติมหาชน” หรือเสียงเรียกร้องจากคนที่เดือดร้อนดังจน  “รัฐ”  รับไม่ไหวแล้ว 

ปัญหาของการบริหารจัดการของไทยในเรื่องโควิดนั้น  ผมคิดว่าอยู่ที่การไม่ได้กำหนดกลยุทธ์และยุทธศาสตร์ตั้งแต่ต้น  ที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ดูเหมือนว่าจะเป็นนักวิชาการด้านที่เกี่ยวกับเชื้อโรคหรือการระบาด  คนที่ตัดสินใจเป็น “นักการเมือง”  ส่วนคนที่ปฏิบัติเป็นข้าราชการ  ทั้งหมดนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างสูงอายุและไม่ได้มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการแบบสมัยใหม่ที่ต้องกำหนดกลยุทธ์ในการเอาชนะหรือประสบความสำเร็จ  และในกรณีแบบนี้ที่เป็นเรื่องฉุกเฉินเร่งด่วน  การกำหนด Priority หรือ ภารกิจสำคัญก่อนหลังที่ต้องทำว่าคืออะไรและจะทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ  ไม่ใช่แก้ปัญหาไปวันต่อวันและคิดเฉพาะในสิ่งที่ตนรู้และเข้าใจ  ไม่มีคนที่  “เก่ง” และมีประสบการพอเป็นที่ยอมรับมาเป็น  “แม่ทัพ” ที่จะนำการ “ต่อสู้” กับโควิดอย่างแท้จริง

ความผิดพลาดในการจัดการเรื่องของโควิดนั้น  นอกจากการที่มีคนเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากแล้ว  ยังรวมถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจที่หนักมาก  เราต้องกู้เงินมหาศาลหลายแสนหรือล้านล้านบาทมาช่วยคนที่ถูกกระทบโดยโควิดไม่รู้กี่รอบและไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไร  หนี้สินที่เพิ่มขึ้นนั้น  หลังจากโควิดผ่านไปเราก็จะต้องชดใช้คืนเจ้าหนี้ซึ่งทำให้เงินงบประมาณที่จะใช้ในการพัฒนาประเทศลดน้อยลงมาก    และก็เช่นเดียวกัน  คนจำนวนมากที่ไม่มีรายได้และต้องกู้เงินมาใช้จ่ายในช่วงโควิดระบาดก็มีหนี้สินมากขึ้นและเขาก็จะต้องชดใช้คืนด้วยเงินที่ทำมาหาได้หลังจากโควิดสงบ    ดังนั้น  การบริโภคที่จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจก็จะลดลง  ทั้งหมดนั้นทำให้อนาคตการเจริญเติบโตของประเทศไทยอาจจะไม่สดใสไปอีกนาน 

ยิ่งการแก้ปัญหาโควิดช้าลงเพราะวัคซีนมาช้า  ความเสียหายก็จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ  ผมลองนึกดูแล้วก็ไม่เห็นเหตุผลเลยว่าทำไมเราจะต้องประหยัดในเรื่องของการนำเข้าหรือซื้อวัคซีนมาก ๆ และหลากหลาย  เอาให้เหลือเฟือเหมือนประเทศพัฒนาอื่น ๆ  เพื่อที่จะได้เร่งฉีดให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่และลดเวลาการแก้ปัญหาโควิดลงให้มากที่สุด  ทำไมเราไม่ยอมจ่ายเงินเพิ่มอีกไม่กี่หมื่นล้านบาทเพื่อที่จะประหยัดเงินจากความเสียหายทางเศรษฐกิจเดือนละ 1 แสนล้านบาทจากการขาดแคลนวัคซีน?  คนที่เกี่ยวข้องบางคนอาจจะบอกว่าถึงมีเงินซื้อก็ไม่มีของ  เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่หลายคนรวมถึงผมเองก็สงสัยเหมือนกัน  เหตุผลเพราะผมเห็นประเทศอื่นที่เพิ่งสั่งซื้อกลับได้วัคซีนที่บอกว่าหายากก่อนไทย  บางทีถ้าเรา “คิดใหม่” และเลือกใช้คนที่มีความสามารถหรือมีบารมีหรือมีเงินพร้อมจ่ายมากพอและปล่อยให้เอกชนเป็นคนทำแบบ  “เสรี” ไม่ติดอยู่กับเกณฑ์หรือระเบียบต่าง ๆ  ทางราชการที่ถ้ามีปัญหาก็แก้ไขได้  เราก็อาจจะสามารถหาวัคซีนได้ “เหลือเฟือ” อย่างหลายประเทศเช่น อิสราเอล หรือสิงคโปร์ก็เป็นได้

“สงครามโควิด” ของไทยผมคิดว่ากำลังขึ้นสู่จุดสูงสุดหรือ “Peak” ในเร็ว ๆ นี้  ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบรุนแรงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ  สังคมและการเมือง   ใน “โลกจริง” นั้น  ถนนหนทาง  ที่ทำงาน  ห้องเรียน  และห้างร้านว่างเพราะ “ถูกปิด”  แต่ใน “โลกเสมือน” ที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือนั้น  ทุกอย่างกำลังดังอื้ออึงไปหมด  “เสียง” มาจากประชาชนที่ลำบากยากเข็ญ  บางคนอาจจะกำลังตาย  คนจำนวนมากต้องการความช่วยเหลือ  “อย่างสิ้นหวัง”  คนที่ไม่ได้เดือดร้อนมากนักอ่านแล้วก็  “ร้องไห้”  นี่หรือประเทศไทยที่แสนสบายและมีความสุขที่สุดในโลก?  ผมเองก็สงสัยเหมือนกันว่าจะมีคนที่ไม่ได้ยินเสียงเหล่านี้ไหม?  โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจมีหน้าที่ที่จะต้องแก้ปัญหา  นี่ทำให้ผมนึกถึงท่อนหนึ่งของเพลงในภาพยนต์คลาสสิก เรื่อง “Les Miserables”ที่พูดถึงคนที่กำลังทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสว่า  “Do you hear the people….(cry?, sing?, …)” ในวงเล็บคือสิ่งที่แต่ละคนสามารถเติมเองได้