เมื่อจีนเจอทั้งศึกนอกและศึกใน...หุ้นจีนยังน่าลงทุนหรือไม่

เมื่อจีนเจอทั้งศึกนอกและศึกใน...หุ้นจีนยังน่าลงทุนหรือไม่

ภาพการลงทุนในหุ้นจีนนั้นกลับข้างกับปีที่แล้วโดยสิ้นเชิง ปีที่แล้วหุ้นจีนให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในโลก โดยดัชนี CSI300 ปรับเพิ่มขึ้นราว 30%

แต่ปีนี้กลับรั้งท้าย ผ่านมาครึ่งปีแล้วจีนยังเป็นประเทศเดียวที่ให้ผลตอบแทนเป็นลบ! (ข้อมูล ณ 29 มิ.ย.) เพราะโดนกดดันจากทั้งด้านการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ และจากสหรัฐฯ และพันธมิตรที่เป็นปรปักษ์ต่อจีน

จีนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ทำให้เศรษฐกิจพลิกฟื้นได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2020 และ GDP ทั้งปี 2020 ขยายตัวเป็นบวกได้ ต่างจากประเทศอื่นๆ ที่ GDP ไตรมาส 2 ปีที่แล้วเป็นจุดต่ำสุด ทำให้ปีนี้ฟื้นตัวได้แรงจากฐานต่ำ เลยกลายเป็นว่าช่วงนี้เศรษฐกิจจีนเติบโตในอัตราที่ชะลอกว่าประเทศอื่นๆ ปีนี้ ทางการจีนตั้งเป้าหมายให้ GDP โตที่ +6% ต่ำกว่าคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะสูงถึง +7% ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น จะเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 40 ปี ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวได้มากกว่าจีน อย่างไรก็ตาม ปีนี้อาจเป็นปีพิเศษ เพราะในปีหน้าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจน่าจะกลับมาเป็นปกติ และจีนจะยังคงแซงหน้าประเทศขนาดใหญ่อื่นๆ ได้

จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ดีตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้ในปีนี้ทางการจีนค่อยๆ ผ่อนคันเร่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และออกนโยบายเข้มงวดในบางธุรกิจ ได้แก่ (1) ธุรกิจที่มีความร้อนแรงหรือราคาขึ้นไปค่อนข้างเร็ว เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ และอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะราคาบ้านตามหัวเมืองใหญ่ๆ (2) ธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง เช่น ยาและเวชภัณฑ์ที่แข่งกันลดราคา ทางการจึงต้องออกกฎห้ามขายยาต่ำกว่าราคากลาง (3) ธุรกิจที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมาก เช่น เหมืองขุดบิทคอยน์ โรงงานเหล็ก โรงงานถ่านหิน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนฯ เป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2060 และ (4) ธุรกิจที่มีการผูกขาดด้านการแข่งขัน และเสี่ยงต่อการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ดังที่เห็นว่าจีนได้ออกกฎหมาย มุ่งเป้าไปที่บริษัทเทคโนโลยี ยักษ์ใหญ่หลายบริษัท

ศึกในประเทศจากทางการจีนที่ออกข้อบังคับใหม่ๆ ถือเป็นเรื่องปกติที่ควรมาพร้อมการพัฒนาประเทศให้ยั่งยืนและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เพราะกฎหมายที่มีอยู่ยังไม่รองรับ โดยนโยบายต่างๆ นั้นมีเพื่อเพิ่มความเท่าเทียมในตลาด ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค และให้ธุรกิจเหล่านั้นเติบโตอย่างมั่นคงได้ในระยะยาว ประเด็นที่สำคัญคือทางการจีนทราบดีว่าเศรษฐกิจจีนจะต้องถูกขับเคลื่อนด้วยธุรกิจกลุ่มเทคฯ ดังนั้น รัฐบาลจึงส่งเสริมการลงทุนด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในจำนวนเงินมหาศาล

สำหรับศึกนอกนั้น ก็ไม่มีท่าทีผ่อนคลายลง แม้สหรัฐฯ จะเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีเป็นนายโจ ไบเดน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือสงครามการค้าถูกแทนที่ด้วยสงครามด้านเทคโนโลยี ล่าสุด รัฐสภาสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างกฎหมาย U.S. Innovation and Competition Act มูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเป็นงบประมาณในการพัฒนานวัตกรรมและวิทยาศาสตร์ ทั้งด้านการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยี 5G และ 6G รวมไปถึงการสำรวจอวกาศ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังมีคำสั่งคว่ำบาตรบริษัทจีนหลายแห่งที่เกี่ยวข้องกับกองทัพจีน และจับมือกับประเทศสมาชิก G7 ในการแบนบริษัทที่ใช้แรงงานชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงศึกระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่จะยังคงมีอยู่ตลอดสมัยของนายโจ ไบเดน

แม้จะเจอทั้งศึกในและศึกนอก แต่ในระยะยาว จีนได้วางรากฐานให้เศรษฐกิจสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ด้วยประชากรจำนวนกว่า 1,400 ล้านคน และกฎหมายให้มีลูกได้ 3 คน พร้อมกับมาตรการช่วยเหลือค่าใช้จ่าย จะทำให้จีนสามารถรักษาความเป็นตลาดขนาดใหญ่ของโลก และหลายประเทศจะไม่สามารถตัดขาดจากจีนได้ มากไปกว่านั้น เศรษฐกิจจีนจะยั่งยืนขึ้นพราะอยู่ได้ด้วยตัวเองมากขึ้นและจะขับเคลื่อนด้วยการบริโภคในประเทศเป็นหลัก พึ่งพาการส่งออกน้อยลง นอกจากนี้ จีนได้พัฒนาห่วงโซ่อุปทานในการผลิตให้ครบวงจรมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ

แม้อุปสรรคที่จีนกำลังเผชิญ จะกดดันหุ้นจีนในระยะสั้น แต่ในระยะ ยาว จีนจะพัฒนาความพร้อมและมีศักยภาพเพียงพอที่จะสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ในช่วงนี้ จึงถือเป็นโอกาสสำหรับการทยอยสะสมหุ้นจีนเพื่อสร้างขุมทรัพย์ลงทุนระยะยาว