ใครเจ๋งจริงในยูโร 2020

ใครเจ๋งจริงในยูโร 2020

ยูโร 2020 มีผลการแข่งขันที่พลิกความคาดหมายหลายนัด แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างจากที่บรรดาคอบอลคาดกันไว้

ยูโรปีนี้แข่งกันดุเดือดสมราคา  ทีมที่ถูกมองว่านอนมาหลายทีมหืดจับกว่าจะเข้ารอบได้  หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มการแข่งขันรอบนี้  เราได้เห็นผลการแข่งขันที่พลิกความคาดหมายหลายนัด  มีทีมสมหวัง  ทีมผิดหวัง แต่หากเราสวมแว่นของนักเศรษฐศาสตร์  เราจะไม่เอาการเข้ารอบตกรอบมาเป็นไม้บรรทัดวัดความสำเร็จ  เพราะไม้บรรทัดแบบนี้มันเบี้ยวมาตั้งแต่เกิดแล้ว

สิ่งที่เราต้องพิจารณา คือ “ทุนเดิม” ของทีมเหล่านี้  ว่ามาจากประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจระดับไหน  ลีกในประเทศเป็นอย่างไรแล้ว  เราจะได้แว่นอันใหม่ที่ใช้ประเมินได้ว่าทีมจากประเทศไหนที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ผู้เขียนขอสรุปข้อค้นพบจากการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ฟุตบอลที่พบว่าปัจจัย 5 อย่างที่มีผลต่อการความเก่งของทีมในแต่ละประเทศ คือ

  1. สมดุลของการแข่งขันของลีกในประเทศ หมายถึงความแตกต่างของคะแนนระหว่างทีมหัวตารางกับทีมท้ายตาราง หากทีมหัวตารางไม่กี่ทีมได้แต้มสูงกว่าทีมท้ายตารางเยอะ ลีกในประเทศจะไม่เข้มแข็งเท่ากับลีกของประเทศที่ทีมส่วนใหญ่มีฝีมือสูสีกัน  เพราะเมื่อสูสีกันแต่ละทีมต้องหานักเตะฝีมือดีมาร่วมทีมให้มากขึ้น  แม้จะเป็นนักเตะจากต่างชาติ  แต่ยังช่วยให้คนในทีมที่เป็นในประเทศได้เรียนรู้จากคนเก่ง  ช่วยยกระดับความเก่งของตัวเองให้สูงขึ้นตามไปด้วย
  2. ระดับรายได้ต่อหัวของประเทศ ยิ่งรายได้ต่อหัวของประเทศสูงขึ้น  โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการแข่งขันก็ยิ่งมีมากขึ้น  อย่างไรก็ตาม  ความสัมพันธ์นี้เป็นจริงถึงระดับหนึ่งเท่านั้น  เมื่อใดที่ระดับรายได้ต่อหัวสูงเกินกว่า 21,836 เหรียญสหรัฐต่อปีแล้ว  ปัจจัยตัวนี้กลับจะส่งผลในทางลบ  ทำให้โอกาสในการประสบความสำเร็จลดลง  เนื่องจากคนที่มีรายได้สูงย่อมมีทางเลือกในการพักผ่อนหย่อนใจหลายทาง  แทนที่จะเล่นฟุตบอล  อาจไปเล่นเทนนิส  กอล์ฟ  หรือหันไปหากิจกรรมอื่นๆ แทนก็ได้ 
  3. ระดับอุณหภูมิที่สูงกว่าหรือต่ำว่าสิบสี่องศาเซลเซียส เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิและคะแนนที่ได้จากการจัดอันดับของฟีฟ่าพบว่า ประเทศที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีสูงหรือต่ำกว่าสิบสี่องศามาก  มีความสามารถตำกว่าประเทศที่มีอุณหภูมิใกล้เคียงกับสิบสี่องศา 
  4. การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก ประเทศเคยเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกมีคะแนนจากการจัดอันดับสูงกว่าประเทศที่ไม่เคยมีโอกาสเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกเลย
  5. ประชากรและวัฒนธรรมแบบลาติน ลำพังการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรเพียงอย่างเดียว ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าคะแนนการจัดอันดับจะดีขึ้น  สิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาควบคู่กันไปคือวัฒนธรรมของประเทศนั้นว่ามีความสนใจฟุตบอลมากน้อยเพียงใด  ซึ่งพบว่าจำนวนของประชากรและการมีประชากรที่มีวัฒนธรรมแบบลาตินอยู่ในประเทศมีผลต่อคะแนนในทางบวก  ยิ่งประเทศมีประชากรกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นก็มีโอกาสมีนักบอลที่เก่งมากขึ้นตามไปด้วย

162453420052  

ถ้าเราจำกัดการประเมินไว้เฉพาะบอลยูโรปีนี้ ปัจจัยหลักที่จะทำให้เกิดความต่างได้ ก็คือ  สมดุลของการแข่งขันของลีกในประเทศและระดับการพัฒนาของประเทศที่วัดจากรายได้ต่อหัว  ผู้เขียนได้สร้างแบบจำลองทางสถิติที่ใช้ตัวแปรทั้งสองตัวนี้มาพยากรณ์คะแนนการแข่งขันที่แต่ละทีมควรจะได้ (แท่งสีส้ม) เทียบกับผลที่ได้จริง (แท่งสีน้ำเงิน)  เส้นประสีดำแสดง % ของความต่างระหว่างคะแนนที่ทำได้จริงกับคะแนนที่ควรจะทำได้ เช่น อิตาลี ทำคะแนนได้จริง 9 คะแนนทั้งที่หากพิจารณาจากระดับความเข้มแข็งของลีกในประเทศและรายได้ต่อหัวแล้ว ควรจะได้แค่ 5.1 คะแนน  เมื่อนำคะแนนที่ได้จริงเทียบกับคะแนนที่ควรจะเป็น เราจะเห็นว่าปีนี้อิตาลีมาแรงมาก  ทำได้สูงกว่าที่ควรจะได้ถึงราว 75% ส่วนเยอรมันกับฝรั่งเศสที่เข้ารอบเหมือนกัน คะแนนที่ได้ต่ำกว่าที่ควรจะได้ทั้งคู่  อังกฤษที่มองกันว่าปืนฝืด  หากใช้เกณฑ์นี้แล้วทำคะแนนได้ดีน่าชื่นใจอยู่เหมือนกัน 

 

          ถ้าดูข้อมูลจะเห็นว่าทีมที่ลูกผีลูกคนส่วนใหญ่ % จะมีค่าใกล้ศูนย์หรือติดลบ แต่ผลการวิเคราะห์นี้ไม่ได้บอกว่าทีมที่มี % ผลงานดีกว่าที่คาดไว้มากที่สุดจะได้แชมป์อย่างแน่นอน  เพียงแต่การจะทำผลงานให้ได้เหนือว่าความคาดหมายได้เยอะต้องอาศัยความคงเส้นคงวาในการยกระดับการเล่นของตนเองให้เหนือกว่าเดิม  คุณสมบัติข้อนี้มิใช่หรือที่เป็นคุณสมบัติสำคัญของคนที่คู่ควรจะเรียกตัวเองว่าแชมป์เปี้ยน

          ผมขอส่งท้ายบทความนี้ด้วยคำคมจาก เจมส์ คอร์เบ็ตต์  นักมวยที่สามารถล้มจอห์น ซัลลิแวนด์ ได้สำเร็จ

แชมป์เปี้ยนเป็นผลสะสมของการขึ้นสังเวียนทีละนัด  ต่อให้เจอกับงานยากแค่ไหนก็ให้สู้สุดใจทุกครั้ง