ใช้เงินแบบไหนถึงเรียกว่ามี ‘วินัยทางการคลัง’
วินัยทางการคลัง เป็นหนึ่งในประเด็นที่พูดถึงคู่ไปกับการกู้เงินมาใช้จ่ายของรัฐบาล ไม่ได้หมายถึงการขี้เหนียวตระหนี่ไม่ยอมจ่ายเงิน
งานวิจัยทางด้านเศรษฐศาสตร์การคลังในระดับประเทศและการเปรียบเทียบระหว่างประเทศส่วนใหญ่ให้ข้อสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่า การใช้จ่ายของรัฐบาลนั้นมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แต่ผลกระทบจะเป็นบวกหรือลบนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณเงินที่ใช้หรือระดับการขาดดุลเพียงอย่างเดียว ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ โดยเฉพาะสภาวะเศรษฐกิจ คุณภาพ และประสิทธิภาพของการใช้เงินที่สะท้อนระดับ “กึ๋น” ของรัฐบาลก็มีส่วนด้วยเช่นกัน
เวลาพูดถึงวินัยทางการคลัง บางคนคิดว่าหมายถึงการที่รัฐบาลต้องรัดเข็มขัด ลดรายจ่ายไม่ให้งบประมาณขาดดุล ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะผิดเสียทีเดียว เพียงแต่ว่า คำจำกัดความแบบนี้ค่อนข้างคับแคบเกินไป การจะประเมินว่ารัฐบาลไหนมีวินัยทางการคลังหรือเปล่าต้องเข้าใจถึงลักษณะของรายจ่ายประเภทต่างๆ ของรัฐบาลด้วย
โดยปกติแล้ว นักเศรษฐศาสตร์แบ่งรายจ่ายรัฐบาลออกเป็นสามกลุ่มด้วยกัน รายจ่ายกลุ่มแรกเป็นรายจ่ายเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน เช่น การซื้อปากกาดินสอมาให้ข้าราชการใช้เซ็นเอกสาร การจ่ายเงินเดือนข้าราชการตอบแทนการที่ข้าราชการให้บริการประชาชนในแต่ละเดือน รายจ่ายกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นการจ่ายเพื่อให้กลไกของรัฐที่มีอยู่สามารถทำงานต่อไปได้
รายจ่ายกลุ่มที่สองเป็นรายจ่ายด้านการลงทุน เช่น การสร้างถนนหนทาง ท่าเรือ สนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ การลงทุนเหล่านี้ให้ผลตอบแทนกลับมาในรูปของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว รายได้ของประชาชนและธุรกิจมีมากขึ้น รัฐก็สามารถจัดเก็บภาษีได้ขึ้นตามไปด้วย หากผลตอบแทนที่ได้จากโครงการลงทุนมีมากกว่าต้นทุนที่ลงไปก็ถือว่ารายจ่ายด้านการลงทุนนั้นมีความคุ้มค่า
รายจ่ายประเภทที่สามคือการถ่ายโอนเงินโดยมิได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาในระยะยาว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายด้านสังคม เช่น การให้เงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ การให้เงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เป็นต้น
หากมองในเชิงเศรษฐศาสตร์แล้ว รายจ่ายประเภทสุดท้ายนี้เป็นการโอนเงินจากผู้เสียภาษีไปให้กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง นโยบายในเชิงเงินโอนเหล่านี้เป็นความพยามยามของรัฐในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างคนกลุ่มต่างๆ หรือบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
ด้วยเหตุนี้เอง การจะประเมินว่านโยบายที่เข้ากลุ่มรายจ่ายประเภทที่สามนี้ได้ผลมากน้อยแค่ไหนจึงเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เพราะจะคิดแต่ตัวเงินเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ผลตอบแทนในเชิงสังคมและจิตวิทยาซึ่งไม่สามารถตีค่าออกมาเป็นเงินได้ก็ต้องนำมารวมไว้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การจะจำแนกรายจ่ายของรัฐบาลว่าอยู่ในกลุ่มไหนต้องทำทั้งก่อนและหลังการจ่ายเงิน เพราะอาจมีการกลายพันธุ์ระหว่างทางได้ เช่น บางโครงการจัดขึ้นมาเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ด้านการลงทุนแต่พอเอาเข้าจริงคนใช้เงินกลับเอาไปใช้ซื้อข้าวของเครื่องใช้สำนักงานเพื่อประโยชน์ในปัจจุบันเสียหมด
ยกตัวอย่างเช่น หากให้เงินช่วยเหลือชุมชนที่ร่วมกันทำวิสาหกิจชุมชนเพื่อใช้แก้ปัญหาการขาดเงินทุนในช่วงการระบาดของโควิด-19 ช่วยให้คนในหมู่บ้านมีเงินทุนหมุนเวียนและใช้ลงทุนยกระดับศักยภาพ จนสามารถยกระดับความเป็นอยู่ของสมาชิกได้ในระยะยาว ก็ถือว่าโครงการนี้ประสบผล
หากเอาเงินไปใช้สุรุ่ยสุร่าย แบ่งกันในบรรดาเครือญาติ แล้วเอาไปซื้อของที่ไม่ก่อรายได้ เช่น ทีวี ไปเที่ยว ดูหนัง สังสรรค์ เงินก้อนนี้ถือว่าสูญเปล่า
ดังนั้น การประเมินความคุ้มค่าของการใช้เงินของรัฐต้องดูกันให้ตลอดรอดฝั่ง เริ่มตั้งแต่วัตถุประสงค์ วิธีการบริหารจัดการ และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งประเมินโดยใช้หลักวิชาการ ปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง หากผลปรากฏออกมาว่าโดยรวมแล้วผลเสียมากว่าผลได้ นโยบายประชานิยมนั้นก็ถือว่าไม่คุ้มค่า ถ้ารัฐยังดื้อดึงคิดทำต่อไป จะเป็นการสูญเงินรัฐโดยใช่เหตุ การใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลโดยไม่ได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาเท่าที่ควรแบบนี้เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ถือว่าขาดวินัยทางการคลังอย่างร้ายแรง
ในทางตรงกันข้าม ถ้าโครงการนั้นก่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เห็นผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย ช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนดีขึ้น คุ้มกับเงินที่ลงทุนไป เป็นโครงการซึ่งน่าจะทำต่อ แต่รัฐกลับตัดสินใจเลิกเสียดื้อๆ แบบนี้ก็เข้าข่ายถือว่าขาดวินัยทางการคลังเช่นกัน
วินัยทางการคลังจึงไม่ได้หมายถึงการขี้เหนียวตระหนี่ไม่ยอมจ่ายเงิน เอาแต่รักษางบประมาณให้สมดุลหรือเกินดุลอย่างเคร่งครัด วินัยทางการคลังสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างบ้านเราท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 จึงน่าจะหมายถึง การรู้จักใช้จ่ายเงินให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่ใช้จ่ายเกินตัวหาก รู้จักบริหารจัดการเงินให้คุ้มค่า ทั่วถึง สร้างผลตอบแทนที่เป็นกอบเป็นกำกลับมาจะได้ไม่เป็นภาระกับประชาชนและประเทศ แบบนี้ต่างหากถึงจะเรียกว่ารัฐบาลมีวินัยทางการคลังอย่างแท้จริง