มุมมืดของจีนคิดใหม่ให้มีลูกได้ 3 คน

มุมมืดของจีนคิดใหม่ให้มีลูกได้ 3 คน

จีนทำอะไรมักเป็นข่าวใหญ่เสมอ ในช่วงนี้ หนึ่งในข่าวใหญ่ได้แก่รัฐบาลจีนเปลี่ยนนโยบายจากการยอมให้ครอบครัวจีนมีลูกได้ 2 คนเป็นให้มีลูกได้ 3 คน

นโยบายใหม่นำไปสู่การย้อนกลับไปดูนโยบายประชากรของจีนซึ่งเปลี่ยนหลายครั้งตั้งแต่ยุคประธานเหมา เจอ ตุงซึ่งสนับสนุนให้ชาวจีนมีลูกมาก ๆ เนื่องจากเชื่อว่าประชากรจำนวนมากเอื้อให้ประเทศมีอำนาจ  ต่อมารัฐบาลเปลี่ยนใจและเริ่มดำเนินนโยบายหักมุมเมื่อปี 2521 กล่าวคือ ให้ครอบครัวจีนมีลูกได้เพียง 1 คน  นโยบายนี้ดำเนินมาจนถึงปี 2559 จึงเปลี่ยนเป็นให้มีลูกได้ 2 คน  แนวคิดเบื้องต้นและผลของนโยบายได้รับการวิเคราะห์และถกเถียงกันอย่างเข้มข้น แต่ไม่เกิดข้อสรุปที่จะนำมาเป็นบทเรียนได้แบบไม่มีข้อโต้แย้ง

คงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่าที่มาของแนวคิดพื้นฐานที่นำไปสู่นโยบายด้านการชะลอการเพิ่มจำนวนประชากรมาจากนักวิชาการด้านประชากรและทรัพยากรซึ่งด้านแรกเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ส่วนด้านหลังลดลงอย่างต่อเนื่อง  การศึกษาความเสียสมดุลของ 2 ด้านนี้นำไปสู่การพิมพ์หนังสือชื่อ “ระเบิดประชากร” (The Population Bomb) เมื่อปี 2511  แม้จะถูกวิพากษ์ว่าเป็นกระต่ายตื่นตูม แต่มุมมองของหนังสือถูกนำไปใช้ในนโยบายพื้นฐานด้านการพัฒนาอย่างกว้างขวาง 

อย่างไรก็ตาม จีนเป็นประเทศเดียวที่ใช้มาตรการแบบเข้มข้นจนถึงขั้นบังคับประชาชนไม่ให้มีลูกเกินครอบครัวละ 1 คนในขณะที่ประเทศอื่นใช้การให้การศึกษาและแรงจูงใจให้ประชาชนตัดสินใจเอง  การบังคับนั้นก่อให้เกิดผลกระทบทางลบมหาศาลที่มีการวิพากษ์ต่าง ๆ นานาไม่ว่าจะเป็นการบังคับสอดใส่ห่วงอนามัยคุมกำเนิดและทำหมันให้สตรีวัยมีบุตร หรือการเลือกเพศของลูกที่นำไปสู่ความไม่สมดุลสูงเกินปกติระหว่างเพศชายกับเพศหญิงซึ่งนำไปสู่ปัญหาการหาคู่ครองไม่ได้และผลเสียหายทางสังคม  แต่ในขณะเดียวกันก็สรุปไม่ได้แน่นอนว่านโยบายได้ผลตามเป้าหมายหรือไม่ทั้งที่ประชาชนต้องยอมจำนนต่อรัฐและขาดอิสรภาพแบบแทบสัมบูรณ์ 

การวิจัยหนึ่งสรุปว่า นโยบายไม่ได้ผลเนื่องจากประชาชนจำนวนมากเริ่มมองเห็นความสำคัญของการมีลูกน้อยลงแล้ว  ไม่ว่ารัฐบาลจะบังคับหรือไม่ผลจะออกมาในแนวเดียวกัน  ประเด็นนี้มีการนำเรื่องเมืองไทยซึ่งใช้การให้ศึกษาแก่ประชาชนเป็นหลักไปเปรียบเทียบด้วย

ในปัจจุบัน คงเป็นที่ทราบกันแล้วว่าประชากรของบางประเทศเริ่มลดลงพร้อม ๆ กับการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงวัยเนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มีอายุยืนยาวขึ้น  แนวโน้มนี้ก่อให้เกิดความวิตกว่าในวันหนึ่งข้างหน้าจะขาดประชาชนวัยทำงานจนสังคมเดินต่อไปไม่ได้  หลายประเทศจึงเริ่มดำเนินนโยบายจูงใจให้ประชาชนมีลูกเพิ่มขึ้น  จำนวนประชากรจีนยังไม่ลด  แต่รัฐบาลจีนมองว่าถ้าไม่เปลี่ยนนโยบายตั้งแต่วันนี้เป็นไปได้ว่าจะเกิดปัญหาในเวลาอันสั้น  อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสงสัยว่าเพราะอะไรรัฐบาลจีนจึงไม่ปล่อยให้ประชาชนตัดสินใจเองว่าจะมีลูกกี่คน หากยังบังคับว่ามีได้ไม่เกินครอบครัวละ 3 คน  นโยบายแนวนี้คงมีฐานอยู่ที่การคิดแบบคอมมิวนิสต์ นั่นคือ รัฐบาลควมคุมทุกอย่างแม้กระทั่งการมีลูกของประชาชน 


อนึ่ง ในขณะที่หลายประเทศกระตุ้นให้ประชาชนมีลูกเพิ่มขึ้นนี้มีหลายสิบประเทศที่ประชากรยังเพิ่มขึ้นในอัตราสูงและประชากรโลกโดยรวมยังเพิ่มขึ้น  สภาวการณ์นี้จึงน่าจะมองได้ว่า การมีประชากรสูงวัยทำให้ชาวโลกยุติการให้ความใส่ใจแก่เรื่องความไร้สมดุลระหว่างจำนวนคนบนผิวโลกและทรัพยากรอีกต่อไป  พร้อมกันนั้นก็ไม่ใส่ใจในปัจจัยพื้นฐานของการรบราฆ่าฟันกันอยู่ทั่วโลกในปัจจุบัน นั่นคือ การแย่งชิงทรัพยากรกัน จากในระดับชุมชนไปจนถึงในระดับโลก  การแย่งชิงกันนี้ทำให้ต้องมีทหารซึ่งเป็นคนวัยทำงานทั้งสิ้น  ทหารไม่สามารถทำงานและบริการผู้สูงวัยได้เพราะต้องไปฝึกและประจำการอยู่ในค่าย หรือไปรบซึ่งอาจต้องตาย  ผลสุดท้ายใครจะมาทำงาน หรือบริการผู้สูงวัยคงไม่ได้คิดกันใช่ไหม?