พลังของเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่

พลังของเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่

หลายคนเวลาเริ่มต้นทำธุรกิจ มักจะเริ่มจากคำถามว่า ทำธุรกิจ 'อะไร' ดี แต่คำถามที่สำคัญกว่า ทำธุรกิจ 'อะไร' คือ ทำธุรกิจ 'ทำไม'

จุดเริ่มต้นของบริษัท “พลังผัก” ของคุณวุฒิชัยและคุณสุวิมล เจริญศุภกุล ที่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจเอสเอ็มอี นอกจากความตั้งใจอยากมีธุรกิจของตัวเองแล้วก็คือ อยากทำให้คนไทยมีสุขภาพดี

            การบริโภคผักที่สะอาดปลอดภัยทำให้เรามีสุขภาพดีขึ้นได้ แต่ย้อนไปเมื่อ 14 ปีที่แล้ว กระแสการดูแลสุขภาพยังเป็นเรื่องใหม่ที่คนให้ความสำคัญไม่มากเท่าปัจจุบัน การจะบริโภคผักปลอดสารพิษเป็นเรื่องยากมากท่ามกลางกระแสการปลูกผักที่เน้นการสร้างผลผลิตให้มากที่สุด เร็วที่สุด ที่ต้องใช้สารเคมี แต่ธุรกิจผักปลอดสารพิษดูแนวโน้มแล้วตลาดน่าจะเติบโตได้มากขึ้น คู่แข่งยังไม่มาก ที่สำคัญคือ สุดท้ายถ้าสินค้านั้นเป็นประโยชน์กับชีวิตผู้บริโภคจริง ต่อให้ไม่ได้เป็นกระแสใหญ่โต แต่น่าจะเป็นการเติบโตที่มั่นคงกว่าการทำอะไรที่วิ่งตามกระแสอย่างเดียว

            พลังผักมองตัวเองว่าไม่ได้แค่ขายผัก แต่ขายโอกาสที่ทำให้คนไทยมีสุขภาพดีขึ้น

            แบรนด์ Oh! Veggies จึงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่นั้น

            เมื่อเป้าหมายสูงสุดคือการทำให้คนไทยสุขภาพดี แปลว่าคุณภาพของผักที่ผู้บริโภคจะเอาเข้าปากก็ต้องมีคุณภาพดีมาก จุดแข็งที่จะทำให้แบรนด์อยู่ได้อย่างมั่นคงจึงกลับไปที่รากฐานสำคัญคือคุณภาพของผัก

            แทนที่จะลงมือปลูกผักเองซึ่งต้องใช้ความรู้ใหม่หมด คุณวุฒิชัยและคุณสุวิมลเลือกที่จะใช้เวลากับการเฟ้นหา “พาร์ทเนอร์” ที่เป็นเกษตรกรที่ปลูกผักอินทรีย์ปลอดสารพิษที่มีคุณภาพดีจริง ๆ ต้องลงพื้นที่ ไปพูดคุย ไปสังเกต ไปสำรวจตรวจสอบหลายอย่าง เพื่อให้แน่ใจว่าเกษตรกรมีความซื่อสัตย์และตั้งใจจริง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาอย่างมากแต่ก็คุ้มค่า เพราะเป็นต้นธารของความมั่นใจว่าผักที่ได้จะมีคุณภาพดีและปลอดสารพิษจริง ๆ

            เมื่อคุณภาพของผักเป็นเรื่องสำคัญ วิธีที่พลังผักใช้เพื่อให้พาร์ทเนอร์ที่เป็นฟาร์มผักต่าง ๆ มีความเป็นอยู่ที่ดีและสามารถผลิตผักที่มีคุณภาพได้แบบนี้คือการสร้างแรงจูงใจ ถ้าพาร์ทเนอร์ผลิตผักที่มีคุณภาพดีมาก ๆ พลังผักก็จะผลักดันให้ผักจากฟาร์มนั้นขายได้มากไปด้วย ซึ่งเป็นการตอบแทนความตั้งใจทำงานของเกษตรกร วิธีคิดแบบพลังผักจะเอาคุณภาพของสินค้าเป็นตัวตั้งต้นก่อน เพราะเมื่อคุณภาพสินค้าดีเดี๋ยวลูกค้าก็จะซื้อแน่นอน แต่เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพตลอดจึงต้องรักษาพาร์ทเนอร์ที่ผลิตวัตถุดิบที่มีคุณภาพไว้ให้ได้ ถ้าคุณภาพไม่ดีลูกค้าก็จะไม่ซื้อไปด้วย

            และเพื่อให้คนไทยมีสุขภาพดีจากการกินผัก พลังผักจึงต้องมีกระบวนการทำให้ผักสดได้อยู่จนถึงมือลูกค้า การบริหารสต็อกจากต้นน้ำคือฟาร์มผักยันปลายน้ำคือถึงมือลูกค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก จุดแข็งของพลังผักคือการบริหารสต็อกที่ทำให้ไม่มีผักค้างสต็อกเหลืออยู่ ทำให้มีผักสดถึงมือลูกค้าได้ตลอด

            นอกจากการบริหารสต็อกที่ทำให้ผักคงความสดได้แล้ว ช่องทางการจัดจำหน่ายก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นการส่งต่อสุขภาพดีไปถึงลูกค้าได้จริง พลังผักเลือกใช้ช่องทางโมเดิร์นเทรดเป็นหลัก และต่อมาจึงได้ต่อยอดเป็นการตั้งช็อปของตัวเอง และการเพิ่มช่องทางออนไลน์ในการขาย เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงโอกาสในการมีสุขภาพดีได้ง่ายขึ้น

            นอกจากนั้น ในบางช่วงผักอาจจะโตไม่ทัน ถ้ามองตัวเองว่าเราขายผัก เราก็จะตัน เพราะไปยึดติดว่าต้องขายผักเท่านั้น แต่เมื่อเป้าหมายคือ อยากทำให้คนไทยมีสุขภาพดี แปลว่าอะไรก็ตามที่ทำให้คนไทยสุขภาพดี ก็เป็นโอกาสของพลังผักได้หมดเลย พลังผักจึงไม่หยุดตัวเองที่การขายผักอย่างเดียว แต่ขยายไปขายผลไม้ด้วย ทำให้ตลอดทั้งปีแม้จะมีช่วงที่ผักผลิตได้น้อย แต่ก็ยังมีผลไม้ปลอดสารพิษเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจได้อยู่ มีรายได้มากขึ้นไปด้วยในตัว กลายเป็นว่านอกจากสลัดผักแล้ว มะม่วงน้ำปลาหวาน มะม่วงกะปิทรงเครื่อง กลายเป็นสินค้าขายดีมากของ Oh! Veggies ไปด้วย

          เมื่อเจอโควิด-19 เข้าไป ทางพลังผักจึงยิ่งพบว่า การมีเป้าหมายที่ชัดเจนเรื่องการทำให้คนไทยมีสุขภาพดีนั้นช่วยให้พลังผักสามารถอยู่รอดในวิกฤติไปได้ด้วย และทำให้เห็นโอกาสอีกมากมาย เมื่อผู้บริโภคอยู่ในภาวะที่ออกจากบ้านไม่ได้ จะมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดตามเดิมคงยาก ทางพลังผักก็ปรับตัวขายในช่องทางอีคอมเมิร์ซมากขึ้น บวกกับมีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญเรื่องการบริหารสต็อกอยู่แล้ว ทำให้ลูกค้ายังคงได้ผักที่มีคุณภาพดังเดิม

                       อีกเคล็ดลับที่พลังผักใช้ในการทำให้แบรนด์ Oh! Veggies แข็งแกร่งก็คือ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วย การออกสินค้าใหม่ที่ไม่เหมือนใคร ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่นเมื่อสถานการณ์โควิดในรอบที่ 1 ดีขึ้น Oh! Veggies ก็ออกสินค้าใหม่มาเพื่อให้ลูกค้าเห็นที่ชั้นวางขายไว้ก่อน เพื่อทำให้ลูกค้าจดจำได้ เพราะถ้าไปออกสินค้าใหม่ตอนที่ลูกค้าไม่สามารถออกจากบ้านได้ โอกาสที่สินค้าใหม่จะขายได้ก็จะน้อยไปด้วย เพราะฉะนั้นการเลือกจังหวะที่ถูกต้องจะทำให้สามารถฝ่าวิกฤตได้และยังคงเติบโตได้อยู่

            เรื่องราวของพลังผักทำให้เราเห็นว่า พลังของ “เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่” เป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจอย่างแท้จริง นอกจากจะทำให้เรามีความชัดเจนในทิศทางที่จะไปแล้ว ยังทำให้เราเห็นโอกาสกว้างขึ้นกว่าเดิม

            เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นี้เริ่มจากการตั้งคำถามว่า ธุรกิจที่เราทำนั้นกำลังจะเปลี่ยนแปลงให้ลูกค้ามีคุณภาพชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร เราจะไม่ใช่แค่ธุรกิจที่ขายสินค้าให้ลูกค้า แต่เป็นธุรกิจที่ขายคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้ลูกค้า...นั่นคือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่