มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้และการผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้จึงช่วยชะลอการเสื่อมคุณภาพลง
นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงคุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 1/2564 ว่ายังคงได้รับผลจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และการผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้ โดยยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 5.37 แสนล้านบาท คิดเป็น 3.10% ของสินเชื่อ
ภายใต้มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้และการผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้จึงช่วยชะลอการเสื่อมคุณภาพลง และจาการที่สินเชื่อมีการขยายตัว ส่งผลให้ NPL Ratio ค่อนข้างทรงตัว โดยสิ้นปี 2563 NPL ของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบอยู่ที่ 5.23 แสนล้านบาท หรือ 3.12% ของสินเชื่อ แนวโน้มหนี้เสียเป็นสิ่งที่ ธปท.และธนาคารพาณิชย์กังวลโดยเฉพาะเซกเตอร์ท่องเที่ยวที่น่าห่วง รวมถึงขนส่ง การบิน และเกี่ยวเนื่องกับร้านอาหาร
ช่วงการระบาดของโควิด 19 ภาคการท่องเที่ยวกระทบกับเศรษฐกิจของไทย ได้รับผลกระทบมากที่สุด คิดเป็น 11.5% ของจีดีพี ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ดำเนินโครงการพักชำระหนี้ หรือยืดเวลาชำระหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งโครงการทั้งหลายเหล่านี้ อาจยังไม่เพียงพอ ล่าสุดจึงได้มีการหารือเกี่ยวกับมาตรการ ระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท) โดยมีประเด็นสำคัญคือ มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อทั้งขนาดใหญ่และ SME จำนวน 2.5 แสนล้านบาท แก่ผู้ประกอบธุรกิจพื้นฐานดี แต่ ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม โดยสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือการค้ำประกันสินเชื่อ โดยครั้งนี้กระทรวงการคลังขอให้ บสย มาค้ำประกันธุรกิจที่ใหญ่กว่า SME เป็นการชั่วคราว
มาตรการต่อมาคือการพักหนี้ มีวงเงิน 1 แสนล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่มีศักยภาพ แต่ติดขัดธุรกิจยังไม่สามารถประกอบกิจการได้ปรกติ โอนทรัพย์สินให้กับให้กับสถาบันการเงิน แล้วสามารถเช่าทรัพย์สินทำธุรกิจต่อไปได้ โดยมีเงื่อนไขสำคัญเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวก็สามารถซื้อคืนได้โดยไม่คิดกำไร ส่วนกรณีที่มีหนี้เสียเกิดขึ้น ภาครัฐจะชดเชยให้ ไม่คิดดอกเบี้ย 6 เดือนแรก 6 เดือนต่อมา คิดดอกเบี้ยอัตราเฉลี่ย 2% และไม่เกิน 5% นอกจากนี้ยังมีมาตรการทางด้านภาษี ลดหย่อนภาษีที่ดิน โรงเรือน ภาษีเงินได้ เพื่อแบ่งเบาภาระผู้ประกอบการด้วย
ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ยังต่ออายุมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่จะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน 2564 ออกไปถึงสิ้นปี 2564 มาตรการที่ได้ดำเนินการมาคือขยายระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ ลดดอกเบี้ย และยังมีมาตรการรวมหนี้ ที่ลูกค้ายังเข้ามาใช้บริการน้อยมาก
ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีหนังสือลงวันที่ 20 เมษายน 2564 ถึงผู้จัดการธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินทุกแห่ง สถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่ง นำส่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ภายใต้พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2564 เพื่อสร้างสภาพคล่องเพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบธุรกิจให้สอดคล้องกับวัฏจักรการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลก โดยได้ออกประกาศ 2 ฉบับ กำหนดมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ และมาตรการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้
มาตรการที่ผ่านมาแล้ว 1 เดือน เป็นช่วงเวลาที่สถานการณ์โควิด 19 ระลอก 3 พึ่งจะเริ่มต้นคนติดเชื้อและคนเสียชีวิดยังไม่มากเท่าทุกวันนี้ ความรุนแรงของการแพร่ระบาดที่ทำให้ธุรกิจชะงักงันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไปทางไหนก็มีแต่ความเงียบเหงาหวั่นไหว เพียงแค่จะรักษาชีวิตให้อยู่รอด การแสวงหาวัคซีนที่ปลอดภัย ก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากเต็มที่ การใช้ชีวิตและการดำเนินธุรกิจ ในสถานการณ์สงครามโรค ครั้งที่ 3 ของประเทศไทย เป็นสิ่งที่เราไม่เคยประสบมาก่อน
ประเทศไทยที่มีระดับหนี้ครัวเรือนในไตรมาสแรกของปี 2564 ร้อยละ 92 เพิ่มจากหนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2563 ที่ร้อยละ 89.3 ของ GDP เป็นประเทศที่มีหนี้ครัวเรือนสูงมากในเอเชีย โดยยังไม่ไดนำหนี้นอกระบบที่อัตราดอกเบี้ยสูงมาก ผู้ประกอบธุรกิจ SMEจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงเงินกู้จากสถาบันการเงินได้จึงต้องกู้ผ่านบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อความอยู่รอด
ตอนต่อไปผมจะนำเสนอรายละเอียดจากมาตรการของภาครัฐที่ออกมาว่าจะช่วยเหลือผู้ประกอบการได้มากน้อย เพียงใด จะใช้ประสบการณ์จากการปล่อยสินเชื่อตั้งแต่รายย่อย ถึงรายใหญ่ และเคยดูแลพอรท์สินเชื่อหลายแสนล้านบาทที่แบงก์กรุงไทย เคยร่วมทำงานโครงการอัศวินม้าข้าว ที่ทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยพ้นวิกฤตมาได้ มาวิเคราะห์ว่ามาตรการที่ออกมาเพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาหรือใหม่
ขอความคิดเห็น ข้อเสนอ จากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ผู้ประกอบการส่งถึงผมได้ที่ [email protected] เพื่อช่วยกันหาทางออกให้กับประเทศครับ.....