โลกใบเดียว

โลกใบเดียว

การทำงานที่เปลี่ยนโฉมไปมหาศาล ด้วยเทคโนโลยีมากมายที่เราใช้ช่วงโควิด

ข่าวคราวในสื่อต่าง ๆ ทุกวันนี้ถูกอิทธิพลของโควิด-19 ปกคลุมจนแทบจะเบียดบังข่าวอื่นไปเสียหมด และแน่นอนว่าข่าวที่ออกมาส่วนใหญ่เป็นข่าวเชิงลบ เช่น อัตราการติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศต่างๆ การกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์อินเดียและสายพันธุ์แอฟริกาที่รุนแรงมากขึ้น ฯลฯ

หรือจะเป็นเรื่องธุรกิจและอุตสาหกรรมที่แทบจะเป็นอัมพาต ผลกระทบจากโควิด-19 จึงซึมลึกทั้งในปัญหาส่วนบุคคลที่ต้องตกงาน และธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำให้สุขภาพจิตของคนส่วนใหญ่ย่ำแย่ลงตั้งแต่ระบาดครั้งแรกเมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา

สถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้ ผมเชื่อว่าเรายังจำเป็นต้องมองโลกในแง่บวก เพื่อหากำลังใจให้ก้าวเดินต่อไปได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เราต้องใช้ชีวิตร่วมกับโรคระบาดครั้งนี้ เราจะพบการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่น่าสนใจ

ประการแรก ครอบครัวใกล้ชิดกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สำหรับบ้านที่มีลูกวัยเรียนคงเริ่มชินกับการเรียนแบบออนไลน์ที่แทบไม่ต้องไปโรงเรียนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เช่นเดียวกับบ้านที่ลูกอยู่ในวัยทำงานต้องใช้การทำงานที่บ้านเป็นหลัก

การอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมงแบบนี้หาได้ยากยิ่งในครอบครัวยุคปัจจุบันที่ต่างคนต่างต้องทำหน้าที่ตัวเอง พ่อแม่ทำงาน ลูกไปเรียน กว่าจะอยู่พร้อมหน้าได้ต้องรอวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่เมื่อเราต้องปรับตัวรับโรคระบาด การใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านร่วมกันจึงถือเป็นโอกาสสุดพิเศษที่เกิดขึ้นจนเป็นเรื่องปกติ

การอยู่ด้วยกันทุกวันเช่นนี้หากใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณค่าจะทำให้เด็กๆ มีส่วนร่วมในการทำงานบ้านได้มากขึ้น อาจได้รับผิดชอบงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจไม่เคยทำ เช่น ซักผ้า ทำอาหาร จัดสวน ฯลฯ ช่วยทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวดีขึ้น

สำหรับบางครอบครัวที่เคยต้องห่างเหินกัน วิกฤติครั้งนี้น่าจะทำให้คนในครอบครัวพูดคุยกันมากขึ้น เรื่องง่ายๆ เช่น การเลือกอาหารแต่ละมื้อ ก็เปิดโอกาสให้แต่ละคนได้แสดงความคิดเห็น หรืออาจได้แสดงฝีมือหัดทำอาหารในช่วงนี้เลย ก็เป็นผลพลอยได้เพิ่มขึ้น

ยุคก่อนโควิดแต่ละคนล้วนใช้ชีวิตในโลกคนละใบ โลกของพ่อกับแม่ ก็มีแต่เรื่องหน้าที่การงานและภาระต่างๆ ที่ต้องรับผิดชอบ โลกของลูกวัยเรียนก็มีแต่เพื่อนฝูง ดนตรี กีฬา ฯลฯ ถ้าเป็นวัยทำงานก็เป็นโลกการพบเพื่อนใหม่ๆ และงานที่ท้าทาย

การที่โลกแต่ละคนถูกหลอมรวมให้กลายเป็นโลกใบเดียวกัน จึงเป็นโอกาสดีที่สุดในการสร้างสัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้น เพราะความเข้มแข็งสถาบันครอบครัว เป็นจุดเริ่มต้นการพัฒนาทุกสิ่งทุกอย่าง หลังโควิดผ่านพ้นไปเราจึงน่าจะมีบุคลากรที่มีคุณภาพพร้อมเข้ามาฟื้นฟูธุรกิจ อุตสาหกรรมและสังคมได้รวดเร็ว

ประการต่อมา คือ การทำงานที่เปลี่ยนโฉมไปมหาศาล ด้วยเทคโนโลยีมากมายที่เราใช้ช่วงโควิด ไม่ว่าจะเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ หรือรูปแบบการทำงานที่เราไม่จำเป็นต้องฝ่าการเดินทางเข้ามาถึงสำนักงานในเมืองเหมือนในอดีต

นั่นคือเราเรียนรู้วิธี เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้โดยไม่ต้องยึดติดการการทำงานในรูปแบบเดิม ๆ และยังมีแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ที่ช่วยให้ทำงานได้ง่ายขึ้น ลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจลงได้มหาศาลอย่างที่เราไม่เคยคิดได้มาก่อน

ผลพลอยได้อีกประการหนึ่งก็คือกระแสการทำงานที่บ้านนั้น ส่งเสริมให้พนักงานมีระเบียบวินัยมากขึ้น เพราะการใช้ชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานในบ้านตลอด 24 ชั่วโมงนั้นจำเป็นจะต้องมีความรับผิดชอบและรู้จักการจัดสรรเวลาอย่างเป็นระบบ

ประการสุดท้ายสังคมเพื่อนฝูงที่แม้จะต้องอยู่ห่างกัน แต่กลับใกล้ชิดกันได้ด้วยเทคโนโลยี จะส่งกำลังใจให้กัน จะพบปะ เยี่ยมเยียน หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแบบเห็นหน้าเราก็ไม่เคอะเขินกันแล้วเพราะใช้แอพลิเคชั่นอย่างซูม หรือไมโครซอฟท์ทีม ได้อย่างคล่องแคล่วกันทุกคน

ไม่นับรวมโซเชียลมีเดียที่เราใช้กันมากขึ้นในช่วงนี้ เชื่อมโยงเพื่อนฝูงที่อาจไม่เจอกันนานให้กลับมาพูดคุยกันได้อีกครั้ง ทำให้เวลาที่ดูเหมือนจะมีมากขึ้นในช่วงที่ต้องรักษาระยะห่างด้วยการอยู่กับบ้านนี้ให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น อย่าเสพแต่ข่าวลบ อย่าเปิดรับแต่ข่าวร้าย แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดก็ยังมีแง่มุมที่ทำให้เรามีความสุขได้อยู่เสมอ