NetFlix:อุตสาหกรรมทีวีเปลี่ยน เพราะ ‘เทคโนโลยี’
เรามักเห็นนวัตกรรมหรือสิ่งใหม่ออกมาจาก NetFlix ประจำ
“โกโบริตาย เขาทรายชก” คนในยุคเบบี้บูมเมอร์และเจนเนอเรชั่นเอ็กซ์คงเข้าใจความหมายนี้เมื่อ 30 ปีก่อนได้ดี มันเป็นวันที่ถนนในกรุงเทพโล่ง ทุกคนรีบกลับบ้านไปดูฉากสุดท้ายของละครทีวีคู่กรรม หรือต้องรีบกลับไปดูการถ่ายทอดสดการชกป้องกันตำแหน่งของเขาทรายแกแล็คซี่ แชมป์โลกขวัญใจคนไทย
ยุคนั้นคนยังดูทีวี มีช่วงเวลาไพรม์ไทม์ คนส่วนใหญ่พร้อมใจเปิดทีวีดูเวลาเดียวกัน รายได้จากการโฆษณาทีวี โดยเฉพาะช่วงไพรม์ไทม์จะดีมาก
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้คนในยุคปัจจุบันแทบไม่ได้ดูทีวีช่องปกติ คำว่าเวลาไพรม์ไทม์เริ่มหายไปแล้ว ผู้ชมหันมาใช้บริการ OTT TV (Over-the-top TV) หรือทีวีสตรีมมิ่ง คือ ดูรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ วิดีโอ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทั้งดู YouTube หรือ NetFlix มากขึ้น ช่องเคเบิลทีวีเดิมมีผู้รับบริการน้อยลง แม้แต่รายการกีฬาถ่ายทอดสดหลายคนก็มาใช้บริการทีวีสตรีมมิ่ง หรือบางครั้งก็จ่ายตามการรับชมในแต่ละครั้ง (Pay per view) อุตสาหกรรมทีวีได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ปัจจุบันบริการทีวีสตรีมมิ่งที่มีสมาชิกมากที่สุดในโลก คือ NetFlix มีจำนวนถึง 204 ล้านราย ตามมาด้วย Amazon Prime จำนวน 150 ล้านราย Disney Plus จำนวน 87 ล้านราย และ Hulu จำนวน 39 ล้านราย ที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือ ช่องบริการสตรีมมิ่งเหล่านี้มีมาไม่นาน แต่ตัวเลขสมาชิกเพิ่มขึ้นเร็วทุกปี เช่น NetFlix ในปี 2011 มีสมาชิกเพียง 21.5 ล้านคน แต่เมื่อสิ้นปีที่แล้วมีสมาชิกเพิ่มเกินสองร้อยล้านคน ในจำนวนนี้ 63.1 ล้านคน เป็นสมาชิกในสหรัฐ ตามด้วย บราซิล 16.4 ล้านคน และสหราชอาณาจักร 14.8 ล้านคน
สำหรับในประเทศไทย Statista.com ประมาณการสมาชิกปี 2020 จำนวน 546,340 ราย เพิ่มจากปี 2017 ที่มีเพียง 105,650 ราย ซึ่งปัจจุบันสมาชิกจะจ่ายค่าบริการผ่านตัวแทนในไทย หรือจำนวนหนึ่งจ่ายตรงไปยัง NetFlix ผมเป็นสมาชิก NetFlix มานานกว่า 7 ปี ซึ่งดูจากอุปกรณ์ใดก็ได้และมีรายการภาพยนตร์ ซีรีย์หลายเรื่องที่ตรงความต้องการมากกว่า และถ้าจะดูถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาก็จ่ายแบบเฉพาะรายการก็ทำได้
NetFlix เป็นบริษัทเล็กๆ ก่อตั้งปี 1997 เพื่อให้บริการเช่า DVD โดยเป็นแบบจ่ายค่าสมาชิกแล้วให้เลือกเช่าออนไลน์พร้อมส่งทางไปรษณีย์ ซึ่งยุคนั้นเจ้าตลาด คือ Blockbuster ก่อนที่ NetFlix จะมาทำบริการสตรีมมิ่งอย่างเต็มตัว และในปี 2020 บริษัทสามารถทำรายได้ถึง 24,996 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรสุทธิ 2,761 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2019 ที่มีจำนวน 1,867 ล้านดอลลาร์ ส่วนหนึ่งคงเพราะวิกฤตโควิดคนอยู่บ้านมากขึ้น จึงเลือกดูทีวีมากขึ้น
เมื่อวิเคราะห์ผลประกอบการและจำนวนสมาชิกของ NetFlix หรือบริการทีวีสตรีมมิ่งอื่นๆ จะบอกว่าธุรกิจทีวีและบันเทิงเป็นขาลงเพราะคนเลิกดูทีวี คงไม่ใช่ เนื่องจากรายได้กลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ยังดีขึ้นเรื่อยๆ ที่เห็นชัด คือ รับชมช่องทีวีแบบเดิม กำลังเกิดการล่มสลายเพราะเทคโนโลยี (Technology Disruption) และผู้อยู่รอดได้ต้องเปลี่ยนแปลงด้วยดิจิทัล (Digital transformation) เช่นกลุ่มทีวีสตรีมมิ่ง
ความสำเร็จของ NetFlix ไม่ได้อยู่แค่การมีรายการภาพยนตร์ สารคดี หรือซีรีย์ที่ดีกว่า แต่ส่วนหลักมาจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ และลงทุนทำวิจัยจริงจัง เมื่อเทียบจำนวนภาพยนตร์และรายการต่างๆ ในปี 2020 แล้วกลับพบว่า Amazon มีจำนวนสูงสุดคือมีถึง 26,397 รายการ โดย NetFlix มีเพียง 5,451 รายการ
แต่สิ่งที่ NetFlix ทำได้ดีคือเรื่องของการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า สามารถแนะนำรายการให้ลูกค้าได้ดี และมีระบบเอไอที่เข้าใจความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม สามารถนำมาเป็นแนวทางในการจัดหาภาพยนตร์ หรือแม้แต่จะจัดสร้างภาพยนตร์ หรือซีรีย์ให้ตรงความต้องการของผู้ชมได้
NetFlix มีข้อมูลขนาดใหญ่มาก (Big Data) เก็บข้อมูลผู้ชมรายการทั้งหมด ตั้งแต่จังหวะที่ผู้ชมล็อกอินเข้ามา ว่ามาจากอุปกรณ์ใด พื้นที่ใด เลือกดูรายการอะไร ระหว่างชม กดหยุดหรือไม่ หรือกดย้อนหลัง กดข้าม ด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ทำให้ NetFlix นำมาทำระบบเอไอได้ ซึ่ง NetFlix มีทีมงานด้านนี้อยู่มาก ทั้งที่เป็นวิศวกรข้อมูล และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล และมีงานที่มอบหมายไปแต่ละด้าน เช่น พนักงานบางคนมีงานหลักที่จะปรับหน้าจอและนำเสนอรายการให้ตรงใจลูกค้า
ในปี 2020 ทาง NetFlix ทุ่มด้านงานวิจัยถึงปีละ 1,800 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเรามักเห็นนวัตกรรมหรือสิ่งใหม่ออกมาจากทาง NetFlix ประจำ โดยเฉพาะงานทางด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลและเอไอ
ความอยู่รอดของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เปลี่ยนไปมาก จำเป็นต้องลงทุนด้านเทคโนโลยี และต้องทำวิจัยโดยเฉพาะการนำเรื่องเอไอไปใช้ วันนี้บริษัทต่างๆ จะทำธุรกิจแบบเดิมไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีจึงจะกลายเป็นผู้นำในยุคนี้ได้เหมือนเช่น NetFlix