ดอน คีโฮเต ภาคพิสดาร: คีโฮเต กะ ชูนิเบียว

ดอน คีโฮเต ภาคพิสดาร: คีโฮเต กะ ชูนิเบียว

ภาคต่อของบทประพันธ์ของนักเขียนชาวสเปนเรื่อง 'ดอน คีโฮเต' ที่ผู้เขียนได้ดัดแปลงบางส่วนแล้วโพสต์ FB ให้ผู้ที่สนใจทั่วไปเข้ามาแต่งเติมต่อ

เมื่อเดือนที่แล้ว ผมได้เล่าเรื่อง ดอน คีโฮเต ที่เป็นตัวละครเอกในนวนิยายชื่อเดียวกันของนักเขียนชาวสเปนที่ชื่อ เซอวานเตส (Miguel de Cervantes Saavedra: ๒๙ กันยายน ค.ศ. ๑๕๔๗-๒๓ เมษายน ค.ศ. ๑๖๑๖)  จริงๆแล้ว ดอน คีโฮเตคือวีรบุรุษจินตกรรม” (Imagined Hero) ซึ่งในสมัยนั้นก็คือ อัศวิน นั่นเอง และคนที่จินตนาการตัวเองให้เป็น ดอน คีโฮเต ก็คือ ตาแก่ที่ชื่อ อลองโซ คีฮาโน ทำไมตาแก่คีฮาโนถึงได้จินตนาการตัวเองให้เป็น วีรบุรุษ” ?  ก็เพราะเขาอ่านนวนิยายเรื่องอัศวินมากเกินไป ทั้งๆที่ช่วงเวลาขณะนั้นเป็นช่วงที่อัศวินกำลังจะหมดไปจากยุโรป                        

ตาแก่คีฮาโนอดตาหลับขับตานอน “ไม่กินข้าวกินปลา” เอาแต่หมกมุ่นอ่านเรื่องราวอัศวินอย่างไม่ลืมหูลืมตา คงไม่ต่างจากพวกที่นิยมอ่านหนังสือกำลังภายในของจีนในบ้านเรา ที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านกันได้เป็นวักเป็นเวร  จนบางคนพูดอะไรออกมาเป็นสำนวนกำลังภายในไปเสียหมด  และแน่นอนว่า คงมีไม่น้อยที่ยามเดินออกจากบ้าน ก็คงนึกว่าตนเป็นเอี้ยก้วย หรือบางคนขณะนั่งกินเหล้าอยู่ ก็คงคิดว่าตัวเองเป็นลี้กิมฮวง เป็นต้น (สมัยนี้ น่าจะเป็นพวกติดซีรีย์จนไม่เป็นอันทำอะไร หรืออ่านหนังสืออะไรบางอย่างแบบเสพย์ติดคิดไม่เป็น)

ตาแก่นี้อ่านนวนิยายอัศวินและ อินมากเสียจนกลายจินตนาการตัวเองเป็น ดอน คีโฮเต เป็นวีรุบุรษในจินตกรรมของตัวเองไป และวีรบุรุษจินตกรรมนี้ก็มีภาพหลอนคือ ชุมชนจินตกรรม” (Imagined Community) ที่เขาสร้างขึ้นและคิดว่าตนมีภารกิจต้องทำให้มันเกิดขึ้นจริงในโลกนี้ให้ได้ ฯลฯ เมื่อหมกมุ่นจนถึงขีดสุด คีฮาโนก็ออกอาการ สมมติตัวเป็นนักรบผู้กล้า อุตส่าห์ไปหา “เสื้อเกราะเก่าๆ” มาใส่ ดัดแปลงเอาเศษข้าวของมาทำเป็นหมวกนักรบ  ดูๆไปแล้ว ก็คงไม่ต่างจากเด็กๆที่ดูหนังกำลังภายในมากๆ หรือดูหนังพวกมดเอ๊กซ์ แล้วก็ไปหาเสื้อผ้าข้าวของในบ้านมาดัดแปลงเป็นชุดจอมยุทธหรือชุดมดเอ็กซ์อะไรต่างๆ หรือเอาก้านกล้วยมาทำเป็นม้าสีหมอก เอาฝาโอ่งมาทำเป็นโล่   เป็นต้น                            

ส่วน คีฮาโน (คีโฮเต)  ก็สมมุติให้ม้าผอมโซของเขาเป็นม้าคู่ใจนักรบผู้กล้า แล้วก็เริ่มออกเดินทางผจญภัยเพื่อปราบอธรรม ด้วยความกล้าและรักในเกียรติของบุรุษอาชาไนย  ถ้าเป็นของจีนก็จอมยุทธ ถ้าเป็นของฝรั่งก็ต้องเป็นอัศวิน  แต่อัศวินของฝรั่งต้องมีคนแต่งตั้ง  ไม่ใช่จู่ๆอยากจะเป็นก็เป็นได้  ดังนั้น เขาจึงไป “เสาะหาขุนนางผู้ใหญ่” ให้แต่งตั้งเขาเป็นอัศวิน  ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เจ้าของโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านนั่นแหละ  ซึ่งด้วยความบ้าไปแล้วของคีฮาโน จึงทำให้เขาจินตนาการไปว่า เจ้าของโรงเตี๊ยมเป็นขุนนางผู้เป็นเจ้าของอัครมหาปราสาท  คนรอบข้างก็ไม่อยากขัด ก็เล่นบ้ากันไปด้วย อาจจะทั้งสงสารและต้องการให้มันจบๆผ่านๆไปเสียที

ความบ้าของคีฮาโนยังทำงานต่อไป เขาอุปโหลกให้คนรอบข้างเป็นโน่นเป็นนี่ตามจินตนาการที่เขามีเกี่ยวกับเรื่องราวของอัศวิน  แล้วก็พยายามที่จะเดินทางผจญภัยไปโน่นมานี่ เห็นกังหันลมเป็นอสูรร้าย คีฮาโนไสม้าผอมวิ่งเข้าชน-พุ่งเข้าใส่จนตัวเองเจ็บตัวหายนะ จนท้ายที่สุด เขาก็ถูกนำตัวกลับมาบ้าน  และก็หายบ้า พ้นออกมาจากโลกอัศวินในจินตนาการ เลิกคิดจะเป็นอัศวิน กลับมานอนหดหู่ห่อเหี่ยวหัวใจ และในที่สุดก็ตาย    วีรบุรุษจินตกรรมก็เหี่ยวแห้งตายไปพร้อมๆกับชุมชนจินตกรรมของเขา !        

            -------------------------------------             

หลังจากที่เรื่องที่ผมเขียนนี้เผยแพร่ออกไปใน FB ก็มีคนมาร่วมสนุกแสดงความคิดเห็นกันอย่างบันเทิง หนึ่งในนั้นคือ คุณที่ใช้ชื่อว่า Thomas A Anderson บอกว่า ภาษาวัยรุ่นเรียกคนกลุ่มนี้ (คนที่อินไปกับจินตกรรม/ผู้เขียน) ว่า เบียว มาจากคำว่า จูนิเบียว’”  

จูนิเบียว ??!!  เกิดมา 62 ปี ผมก็เพิ่งเคยได้ยินคำๆนี้ เลยต้องไปค้นวิกิพีเดีย ทำให้รู้ว่า ชูนิเบียว เป็นศัพท์ภาษาญี่ปุ่นที่ใช้พูดกันอย่างไม่เป็นทางการในการบรรยายวัยรุ่นที่มีภาวะหลงผิดคิดตนเขื่อง ซึ่งต้องการที่จะโดดเด่น โดยทำให้ตนเชื่อว่าตนมีความรู้ที่ซ่อนอยู่หรือมีพลังลึกลับ ศัพท์คำนี้เป็นที่นิยมจากไลต์โนเวลและอนิเมะเรื่อง รักสุดเพี้ยนของยัยเกรียนหลุดโลก !  โดยมีความหมายตรงตัวว่า โรคป่วย ม.2’”                 

ผมก็เลยเกิดไอเดียในการเขียน ดอน คีโฮเต ภาคพิสดาร: คีโฮเต กะ ชูนิเบียว “และแล้ว วันหนึ่ง ดอน ฆีโฮเต ฟื้นขึ้นมา  และ มองไปรอบๆ ไม่เหลืออะไรที่เป็นความหวัง-ความฝันของเขาอีกแล้ว. จะมีก็แต่เด็กๆวัยช่างฝัน ว่าแล้ว เขาก็เดินเข้าไปตั้งวง เล่าความฝันความเชื่อและการต่อสู้ผจญภัยของเขาให้เด็กๆเหล่านั้นฟัง...หลังจากนั้น ฆีโฮเต ก็เดินไปกับ ชูนิเบียว เพียงแต่คราวนี้ เขาเดินตามหลังชูนิเบียว สวนทางภาษิตไทยที่ให้เด็กเดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด..... เพราะเขาเริ่มตระหนักจากอดีตที่ผ่านมาว่า.......” ผมแต่งไว้แค่นี้ แล้วก็ชวนเพื่อนๆใน FB มาแต่งต่อหรือเม้นต์อะไรก็ได้ เลยมีเพื่อนๆใน FB มาร่วมวง อาทิ                                                                               

คุณ Sunyasak Tantivatanasatien: “ฝันเตลิดคนเดียว มันน่าอาย ขายขี้หน้า ออกหน้าไป ไม่มีใครสนใจ คนรุ่นเดียวกัน มันรู้แกวกูหมดล่ะ เห็นเป็นตัวตลก แถมตอนนี้ แก่ตัวเหลือแค่ครึ่งชีวิต  

แต่ไม่เป็นไร ไอ้พวกรุ่นเดียวกัน เดี๋ยวก็ลงหลุมกันหมดแล้ว  ไอ้พวก จูนิเบียว ม. 2 นี่ล่ะ ยังมีชีวิตเหลืออีกเยอะ เหมือนแมว มี 9 ชีวิต แต่มักจะใช้ 8 ชีวิต ให้หมดไปในวัยเด็ก แถมยังหลอกง่ายกว่า.....เมื่อรุ่นเราแก่ตาย ลงหลุมไปแล้ว พร้อมความอัปยศ จะเหลือไอ้พวกจูนิเบียว พวกนี้ ที่โตขึ้น เทิดทูนตูเป็นวีรบุรุษ เป็นศาสดา 555                                                                                                                                            

แต่ถึงเหลือครึ่งชีวิต ครึ่งชีวิตนี้ของเรายังมีค่า ยังต้องผลิตพวกจูนิเบียว ออกมาอีกเยอะ ว่าแล้ว หลังเดินตามหลังไปสักพัก ท่านดอน ก็ค่อยๆปลีก ไปแอบหลังต้นไม้ ดูพวกจูนิเบียว วิ่งเข้าชนกังหันยักษ์ กระเด็นกระดอน คนละทิศคนละทาง เหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ มันคงเห็นไฟนั้น เป็นแสงแห่งเกียรติยศ......(เซนเซอร์ครับ/ผู้เขียน) เพราะทำลายของหลวง บ้างก็ถูกชาวบ้านก่นด่า เดือดร้อนพ่อแม่ ต้องมาก้มหัวขอโทษ แต่กระนั้น ดอน คีโฮเต ก็ยังแอบส่งสัญญาณเชียร์พวกจูนิเบียวอยู่ห่างๆผ่าน IG”                              

ส่วนคุณ Bee Khantupat: “ผมเคยติดนิยายกำลังภายในของโกวเล้ง เวลาไปตั้งวงเหล้ากับเพื่อนทีไร นึกว่าตัวเองเป็น ลี้คิมฮวง ทุกที 555”