เปลี่ยนแปลงไม่ทันเพราะถือมั่นเกินไป

เปลี่ยนแปลงไม่ทันเพราะถือมั่นเกินไป

การนำองค์กร หมายถึงการที่ผู้นำมีความสามารถที่จะเห็นอนาคตที่พึงปรารถนา โดยเป็นอนาคตที่เหมาะสมและเป็นไปได้ภายใต้บริบทปัจจุบันและอนาคต

ผู้นำสามารถถ่ายทอดภาพอนาคตนั้นให้ผู้คนมีความเชื่อมั่นและได้ใจผู้คนในการร่วมแรงร่วมใจ ตลอดจนสามารถกระจายบทบาทหน้าที่อย่างเหมาะสมสำหรับแต่ละคนในการมุ่งสู่การบรรลุที่หมายในอนาคตนั้นร่วมกัน ถ้าแค่ฝันเห็นอนาคตที่ตนเพียงคนเดียวรู้เรื่อง แล้วเที่ยวไปบอกคนนั้นคนนี้ว่าให้เดินทางไปสู่อนาคตตามที่ฉันเข้าใจของฉันเพียงคนเดียว แล้วสั่งการให้คนนั้นทำเรื่องนั้น คนนี้ทำเรื่องนี้ เช่นนี้ไม่เรียกว่ามีการนำองค์กร ไม่เรียกว่ามีภาวะผู้นำ ไม่ว่าจะบังคับบัญชาเก่งแค่ไหนก็ตาม การบังคับบัญชากับการนำองค์กรในโลกปัจจุบันเป็นคนละเรื่องกันแล้ว

แต่การนำองค์กรต้องปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่ต้องการไหลไปตามทิศทางของกระแสน้ำที่เปลี่ยนแปลงไปมาท่ามกลางคลื่นลม กัปตันย่อมต้องปรับหางเสือให้แล่นไปในทิศทางที่ต้องการในทุกครั้งที่กระแสน้ำเปลี่ยนทิศ ผู้นำจำนวนไม่น้อยที่ภาคภูมิใจกับวิสัยทัศน์ของตนเอง และเชื่อมั่นกับกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ร่วมกับทีมงานที่ตนเองเชื่อว่าเป็นสุดยอดฝีมือ กลยุทธ์ของหลายองค์กรจึงได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากความเชื่อส่วนตัวของผู้นำ และคนรอบตัว กลยุทธ์ขององค์กรเหล่านี้จึงได้ดีเฉพาะเมื่อทุกอย่างรอบตัวยังคงเหมือนเดิม ตราบเท่าที่ทะเลยังราบเรียบ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องปรับหางเสือ แม้ว่าทะเลที่ราบเรียบในยุคปัจจุบันหาได้ยากเต็มที แต่ด้วยความเชื่อมั่นถือมั่นในความเชื่อมั่นในกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ของผู้นำและลิ่วล้อ พวกเขาจะมองน้ำในมหาสมุทรเหมือนน้ำในกะละมัง หลอกตนเองให้มองข้ามคลื่นลมที่เปลี่ยนแปลงไปมา  ซึ่งคงเดาตอนจบได้ว่าเรือของผู้นำที่แล่นไปตามความเชื่อจะเป็นอย่างไรในที่สุด

การนำองค์กรที่เหมือนนำเรือหลบพายุไปได้ทุกครั้งนั้นน่าจะดีที่สุด แต่ในความเป็นจริงเราหลบพายุไม่ได้ทุกครั้งไป ใคร ๆก็รู้กันดีว่ากลยุทธ์ที่มีอยู่เดิมหรือวิถีการที่แล่นเรือไปต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่เจอะเจอ แต่มีคนสองพวกที่แตกต่างกัน

พวกหนึ่งยึดมั่นอยู่กับวิธีการเดิม แล่นเรือแบบเดิมจนกว่าจะเจอคลื่นใหญ่แล้วค่อยว่ากันว่าจะปรับกันอย่างไร เห็นมาทางไหนก็ว่ากันตอนที่เห็นนั่นแหละ คนพวกนี้เชื่อมั่นในฝีมือตนเองในการแก้ปัญหามากไปหน่อย  ซึ่งอาจมาจากเคยประสบความสำเร็จสูงในหลายเรื่องมาอย่างต่อเนื่อง แต่สุดท้ายเรือมักล่มกลางพายุเสมอ

 อีกพวกหนึ่งอาศัยสารพัดมาตรวัดคอยดูทางน้ำทางลม แล้วคิดล่วงหน้าว่าเมื่อไหร่จะต้องปรับวิธีการอย่างไร คือปรับก่อนเจอคลื่นใหญ่ รู้ทุกเวลาว่าตอนไหนเสี่ยงแค่ไหน ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อฝีมือตนเองในการแก้ปัญหา แต่ชอบป้องกันปัญหามากกว่าตามแก้  ซึ่งผู้นำทุกคนจะบอกเหมือนกันหมดว่าฉันก็นำแบบหลังนี่แหละ แต่ผลที่เกิดขึ้นจะบอกเองว่าใครนำตามความเชื่อ ใครนำตามข้อมูลข้อเท็จจริง

จะไปรอดได้อย่างราบรื่น ต้องปรับกลยุทธ์ไปตามการเปลี่ยนแปลงได้อย่างถูกเวลา แต่อัตตาและความเชื่อมั่นมากเกินไปกับกลยุทธ์ดั่งเดิมเป็นตัวกีดกันการเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมเปลี่ยนเพราะไม่ยอมหันไปมองคลื่นใหญ่ ไม่ยอมเปลี่ยนเพราะไม่ยอมดูมาตรวัดที่ไม่ถูกใจ   ถ้าแล่นเรือในกะละมังจะเชื่ออย่างไร จะลำเอียงอย่างไร ก็คงไม่มีอะไรเสียหายเกิดขึ้น แต่ชีวิตจริงเรืออยู่ในมหาสมุทรที่มีพลวัตเป็นความแน่นอน เลือกเชื่อมาตรวัดผิดตัวเรืออับปางได้ง่าย ๆ มาตรวัดในปัจจุบันมีมากมาย ข้อมูลมีท่วมท้น เหลือเพียงแค่เปิดใจมองดูสักหน่อย ก็จะได้ความจริงแล้วว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น ปัญหาสำคัญอยู่ที่การไม่ยอมดู หลับหูหลับตาเดินหน้าแบบเดิม เพราะฉันเชื่อว่าของฉันถูกต้อง

เลิกคิดว่าฉันเก่งที่สุด แล้วมองดูความเก่งของคนอื่นบ้าง คนแต่ละคนมีดีอะไรสักอย่างหนึ่งให้เห็นได้เสมอ ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะได้ข้อมูลดี ๆจากคนเหล่านั้น  ผู้นำที่เก่งจริงดึงดูดข้อมูลจากความเก่งของคนอื่นมาใช้ประโยชน์ในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ผู้นำที่ย่ำแย่ภูมิใจกับการปฏิเสธข้อมูลจากคนที่เกรงว่าคนอื่นจะเห็นว่าเก่งกว่าตนเอง  องค์กรที่อับปางท่ามกลางวิกฤติมักเป็นองค์กรที่มีค่านิยมว่าข้อมูลที่เชื่อได้มากที่สุดคือข้อมูลของผู้นำและบริวาร.