‘เห็ด’ และ ‘ผักชี’ กับผู้บริหาร

‘เห็ด’ และ ‘ผักชี’ กับผู้บริหาร

ใน 30 ปีของการเขียนคอลัมน์ประจำอย่างต่อเนื่องของผู้เขียน มีข้อเขียนที่ชอบเป็นพิเศษอยู่ชิ้นหนึ่ง เพราะยิ่งมีอายุมากก็ยิ่งเห็นว่าเป็นจริง

                       ข้อมูลที่ถูกต้องเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับการตัดสินใจของผู้บริหารในทุกระดับ    อย่างไรก็ดีธรรมชาติของมนุษย์เป็นอุปสรรคที่ทำให้ผู้บริหารไม่ได้รับข้อมูลที่จริงแท้จนผู้บริหารสมควรดิ้นรนเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน

                        สองอุปสรรคสำคัญของผู้บริหารที่ผู้เขียนได้ประสบจากการเคยทำงานทั้งในภาครัฐ      ภาคการเมืองและภาคเอกชน  นั่นก็คือสิ่งที่ขอเรียกว่า “ด่านเห็ด” และ “ด่านผักชี

                        อุปสรรคแรกเกิดจากการที่มนุษย์พยายามไม่ให้การทำงานของตนเองต้องยุ่งยากโดยไม่จำเป็น    และ/หรือ ไม่ต้องการให้ผู้บังคับบัญชาเห็นข้อบกพร่องของตนเอง หรือเห็นตนเองในลักษณะที่ไม่น่าพึงประสงค์   จึงทำให้เกิด “ ทฤษฎีเห็ด” หรือ “ด่านเห็ด”  ขึ้น ทฤษฎีนี้มีอยู่ว่า “ลูกน้องมักพยายามทำให้เจ้านายเป็นเสมือนเห็ด   กล่าวคือให้อยู่ในความมืดเท่าที่เป็นไปได้ และรู้เห็นเรื่องต่าง  เท่าที่อยากให้รู้ โดยอุปมาเหมือนเอาขี้วัว (bullshit) หรือ BS ป้อนเจ้านายอยู่เสมอ

                        ขี้วัวหรือ bullshit เป็นคำแสลงอเมริกันที่ไม่สุภาพ   หมายถึงสิ่งไร้สาระ   สิ่งที่ไม่สำคัญ   สิ่งที่ไม่เป็นจริง ฯลฯ   มักเรียกให้สุภาพหน่อยว่า BS   หลายสายพันธุ์เห็ดนั้นชอบความมืดและชอบสารอาหารจากมูลวัวที่ถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์   ดังนั้นเห็ดจึงเติบโตได้ดีภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว

                        เจ้านายที่อยู่ในความมืดเหมือนเห็ดที่ถูกป้อนด้วยสิ่งไร้สาระอยู่เสมอก็จะ “เชื่อง”   ไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อง   ทำให้ลูกน้องไม่ต้องทำงานหนัก    งานไม่ยุ่งยาก และเจ้านายเห็นแต่สิ่งที่ลูกน้องอยากให้เห็น

                        ลูกน้องมักชอบให้แต่ข่าวดีๆแก่นาย (ในสมัยโบราณคนขี่ม้ามาส่งข่าวร้ายถูกตัดหัวบ่อย )  โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายประเภทที่ชอบฟังแต่ข่าวดีหรือชอบรับฟังข้อมูลที่อยากได้ยิน  เจ้านายมักจะไม่ได้ยินสิ่งซึ่งทำให้ตัวลูกน้องเองดูไม่ดี    ดังนั้นการทำให้เจ้านายอยู่ในความมืดและป้อน BS ให้จึงเป็นกลยุทธ์ที่ลูกน้องจำนวนมากชอบกระทำ  เฉพาะลูกน้องที่มีความมั่นใจในตนเอง     มีหลักการ และเห็นประโยชน์ขององค์กรเท่านั้นที่จะเป็นกลุ่มที่มีทางโน้มไม่มีพฤติกรรมเช่นนี้

                        ยิ่งนายขาดปัญญา    ชอบคนสอพลอ    ชอบคำหวานเท่าใดก็จะยิ่งมีโอกาสเป็นเห็ดมากเท่านั้น    “ด่านเห็ด” จึงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการได้รับข้อมูลที่รอบด้าน   เจ้านายที่รู้ทัน และมีปัญญาจะไม่ยอมเป็นเห็ดง่ายๆ โดยพยายามดิ้นรนให้ได้รับข้อมูลระดับล่าง (street data) ที่ลูกน้องไม่ได้เสนอหรือพยายามปกปิดเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจที่เหมาะสม

                        “ด่านเห็ด”  นี้เป็นปราการที่ผู้บริหารในทุกระดับต้องพยายามฝ่าฟันผ่านไปให้ได้ด้วยการไม่ยอมเป็นเห็ด    สิ่งที่ต้องระวังคือ BS เพราะมันมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติในทุกองค์กร  ถ้าหากไม่ระมัดระวังการเป็นเห็ดแล้ว    BS จะท่วมตัวเจ้านายโดยไม่รู้ตัว

                        นอกจาก “ด่านเห็ด” แล้วยังมี “ด่านผักชี” เป็นอีกอุปสรรคในการบริหารงาน    “ผักชีโรยหน้า” เป็นสำนวนไทยที่ลึกซึ้งและสอดคล้องกับการดำเนินชีวิตเนื่องจากคนไทยมักโรยหน้าอาหารด้วยผักชีเพื่อกลิ่นและความสวยงาม    เช่น ข้าวต้ม    อาหารประเภทผัด     ขนมบางอย่าง หรือแม้แต่อาหารทอด

                        ผักชีจึงเป็นตัวแทนของความฉาบฉวย     ความไม่ลึกซึ้ง    ความไม่จริง   เพราะเป็นเพียงการโรยหน้าให้เข้าใจผิด    ผู้บริหารที่ไม่ระวังผักชี จะได้ข้อมูลที่ไม่ตรงความจริงเพราะหลงปลาบปลื้มกับสิ่งที่ลวง    มองไม่ทะลุความฉาบฉวยจนอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้

                      หากผู้บริหารต้องการข้อมูลที่รอบด้านและจริงแท้ต้องระวังผักชีเป็นพิเศษ     ต้องหัก    “ด่านผักชี” ไปให้ได้จึงจะไม่หลงทาง และข้อสังเกตก็คือผักชีไทยนั้นมีความพิเศษที่มีกลิ่นรุนแรงและมีความคงทนอยู่ได้นานกว่าผักชีฝรั่งและผักชีลาวด้วย

                        เมื่อพิจารณาถึงการดำรงอยู่ของ “ด่านเห็ด” และ “ด่านผักชี”  แล้ว    ก็จะเห็นว่าผู้บริหารในทุกระดับจะนั่งอยู่เฉย     รอรับข้อมูลไม่ได้    ต้องดิ้นรนหาข้อมูลที่ลูกน้องไม่ได้รายงานและต้องกระทำไปด้วยความ “หูหนัก” (ไม่เคยมีใครให้ข้อมูลที่ทำให้ตัวเองดูไม่ดี   ดังนั้นความจริงมักจะอยู่กลาง  ของข้อมูลเหล่านั้น)

                        ลองจินตนาการดูว่าหากผู้บริหารในทุกระดับเป็นเห็ดและชื่นชมผักชีที่งอกงามอยู่บนดินที่มาจาก BS เป็นพิเศษแล้ว    องค์กรนั้นจะมีชะตากรรมอย่างไร.