5 เสาหลักของการ 'เดินทางภายใน'

5 เสาหลักของการ 'เดินทางภายใน'

'จิตเป็นนาย  กายเป็นบ่าว' นั้นใช้ได้เป็นอย่างดีในยามนี้ที่ความเดือดร้อนเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้าในโลก

   ถ้าเรามองว่าอุปสรรคนั้นเป็นเรื่องปกติของชีวิต    มัน “มา" แล้วก็ "ไป”    เพียงแต่ว่าเรามีปฏิกิริยาอย่างไรกับมันในยามนี้ซึ่งจะส่งผลหลังจากที่มันได้ "ไป” แล้ว   หากเรามีจิตใจที่เหมาะสมต่อการรับมือกับมัน   สุขภาพร่างกายของเราก็จะดี  ทั้งใจและกายก็จะรวมกันเป็นสุขภาวะที่เข้มแข็งพร้อมรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น

                        หนังสือชื่อ A Toolkit for Modern Life (2020) โดย Dr.Emma Hepburn ให้คำแนะนำในการมีสุขภาพจิตที่ดีผ่าน “5 เสาหลักของสุขภาพจิต” (The 5 Pillars of Mental Health)  ดังนี้

                        (1) Connect เมื่อ “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม”   จึงไม่น่าแปลกใจเมื่อมีหลักฐานเพิ่มขึ้นมาก   ทุกทีว่าการโดดเดี่ยวตนเองจากสังคมเป็นผลเสียต่อสุขภาพ   การอยู่กับคนที่ทำให้ตนเองรู้สึกปลอดภัยและมั่นคง   รู้สึกสนุกสนานจะก่อให้เกิดอารมณ์ที่เป็นบวกอันเป็นผลดีต่อสุขภาพจิต  การพบปะทำให้มีโอกาสพูดคุย    เกิดความรู้สึกว่าความคิดและอารมณ์ของเรานั้นมีเหตุมีผล     ไม่ใช่เรื่องเหลวใหล    นอกจากนี้ทำให้ได้เรียนรู้แง่มุมอื่น  อีกด้วย   ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ดีต่อความคิดและจิตใจของเราทั้งสิ้น

                        มีหลักฐานเพิ่มขึ้นทุกขณะว่าการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีความสุขและมีสุขภาพดี     การมีความสัมพันธ์เชื่อมต่อกับผู้ที่ทำให้เรารู้สึกดี    รู้สึกไว้วางใจ   มีความสนใจและมีความเชื่อในคุณค่าเดียวกันจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง    ในช่วงโควิดการเชื่อมต่อกับผู้อื่นสามารถทำได้ผ่านหลายช่องทาง   เช่น   จดหมาย   โซเชียลมีเดีย   โทรศัพท์  ฯลฯ  โดยไม่ต้องพบหน้ากัน

                         (2)  Be Active    เรารู้ว่าการออกกำลังกาย หรือ exercise   (สสสใช้คำว่า ‘กิจกรรมทางกาย’) เป็นผลดีต่อร่างกาย    เมื่อสมองก็เป็นอวัยวะของร่างกายเช่นเดียวกัน    ดังนั้นจึงย่อมดีต่อสมองด้วย     การออกกำลังกายช่วยสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกาย  ทำให้อวัยวะภายใน    หลอดเลือด และเส้นเลือดทำงานได้ดียิ่งขึ้น   นอกจากนี้ทำให้เกิดความรู้สึกดี ๆ ว่าได้ทำอะไรซึ่งเป็นผลดีต่อร่างกายอีกด้วย  การที่ร่างกายปลดปล่อยสาร endorphins ทำให้เกิดความสุข และลดปฏิกิริยาของร่างกายที่มีต่อความเครียดลง

                        อย่างไรก็ดี    คำว่า “การออกกำลังกาย” ทำให้ผู้คนบางส่วนรู้สึกแหยงเพราะเห็นภาพของการแต่งกายออกกำลังกายอย่างจริงจังเป็นทางการ    หากเราใช้คำว่า “คึกคักกระฉับกระเฉง”  ของการเคลื่อนไหวร่างกาย (ไม่ว่าจะเป็นการเดิน    วิ่ง    ทำความสะอาด    เล่นโยคะ    ทำสวน    ทำอาหาร หรือแม้แต่ร้องเพลงก็จะเข้าใจดีขึ้นว่าเราควรมีชีวิตที่มีชีวิตชีวาไม่เนือยนิ่ง

                        (3)  Be Aware  ในพื้นที่ความคิดของเรามักเต็มไปด้วยเรื่องประสบการณ์ในอดีต และการฝันถึงอนาคตซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติ     สมองของเรามีกลไกทำงานสำคัญในเรื่องความจำ     การแก้ไขปัญหา    การวางแผน   การคาดคะเน    ฯลฯ      บ่อยครั้งสิ่งเหล่านี้หันเหความสนใจของเราไปจากเรื่องที่สำคัญจนไม่สังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่ใดบ้าง    กล่าวคือเราละเลยความรู้สึกและอารมณ์ของเราในขณะปัจจุบันไป     นักจิตวิทยาเตือนว่าเราจำเป็นต้องใส่ใจสภาวะปัจจุบันเพื่อจะสามารถมองเห็นปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้และลงมือปฏิบัติ

                        การให้ความสนใจกับปัจจุบันจะช่วยควบคุมปฏิกิริยาที่มีต่อความเครียด    ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายผ่อนคลายซึ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว     การนั่งสมาธิก็คือรูปแบบหนึ่งของการตระหนักรู้ปัจจุบัน  ในชีวิตประจำวันของเราการตระหนักรู้ได้แก่  การใส่ใจในทุกก้าวย่าง   การสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว    การสังเกตความคิดและลมหายใจของตนเอง  ฯลฯ     

                        กิจกรรมที่ช่วยให้เกิดสมาธินั้นมีมากมาย   เช่น    การวาดภาพ     กิจกรรมศิลปะ     กิจกรรมทางกาย    กีฬาเบา      การเขียน    การอ่าน   ฯลฯ

                        (4)  Learn    การเรียนรู้ทำให้สมองเราคึกคักมีพลัง  มีความรู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย และเกิดความคิดใหม่      งานวิจัยมากมายยืนยันความสัมพันธิ์ระหว่างการใช้สมองอย่างต่อเนื่องกับการมีสุขภาพจิตที่ดี    อย่างไรก็ดีมนุษย์มักผูกโยงการเรียนรู้กับความเครียด   ความล้มเหลว     หรือความสำเร็จ    การเรียนรู้โดยแท้จริงแล้วไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับการสอบ    การจดจำ    หรือการท่องจำ    การเรียนรู้คืออะไรก็ตามที่ใหม่สำหรับสมอง  เช่นการอ่านรับรู้ข้อมูลใหม่       การเรียนรู้คำใหม่     การค้นพบสถานที่ใหม่     การเรียนรู้กิจกรรมใหม่  การชิมอาหารใหม่     ฯลฯ

                      (5)  Give    สุภาษิตจีนให้คำแนะนำแก่ผู้สูงวัยว่าเขาอยู่ในวัย “แจกของ    ส่องตะเกียง”   ซึ่งทั้งสองล้วนเป็นการให้   กล่าวคือให้เงินทองสิ่งของและให้ปัญญาแก่ผู้อ่อนวัยกว่า

                        มนุษย์โดยพื้นฐานนั้นเป็นองค์ประกอบหนึ่งของสังคม   สมองมนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อเป็นกระจกของอารมณ์คนอื่น    กล่าวคือเรารู้สึกเจ็บปวดไปด้วยเมื่อเห็นคนอื่นเจ็บปวด    เรารู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรจนทำให้เรามีอารมณ์ร่วมไปด้วย     โดยทั่วไปถ้ามนุษย์คนอื่นรู้สึกอย่างไรคนอยู่ใกล้  ก็จะพลอยรู้สึกอย่างเดียวกันไปด้วย (การโต้เถียงกันด้วยอารมณ์เมื่อฝ่ายหนึ่งใช้อารมณ์)

                        การให้ก่อให้เกิดความสุขแก่ทั้งผู้รับและผู้ให้  สำหรับคนไทยความรู้สึกนี้เกิดเมื่อได้ทำบุญ   ให้ทาน   งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าการช่วยเหลือคนอื่นอย่างบริสุทธิ์ใจทำให้เกิดผลด้านบวกแก่ผู้ให้    ความอิ่มเอิบที่เกิดขึ้นช่วยจัดการความเครียด    ลดความดันโลหิต   สร้างความรู้สึกเชื่อมต่อทางสังคมกับคนอื่นมากขึ้น

                        การให้ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับเงินทอง   การให้เวลา    การออกแรงช่วยเหลือ   การให้ความสำคัญ    การให้ความสนใจ   การพูดให้กำลังใจคำพูดเป็นมิตรที่ทำให้ผู้รับรู้สึกดี    หน้าตาที่เป็นมิตร    การทำงานจิตอาสา   ฯลฯ    ล้วนเป็นการให้ที่ทำให้เกิดสุขภาพจิตที่ดีทั้งสิ้น

                        เสาหลักทั้ง 5 คือ  Connect   /  Be Active   /    Be Aware    /   Learn    /  และ Give  เมื่อพิจารณาอย่างเชื่อมต่อกันก็จะเห็นว่าเป็นสูตรของการมีสุขภาพจิตที่ดี   กล่าวคือไม่ตัดขาดตนเองจากสังคม     ทำให้ชีวิตคึกคักกระฉับกระเฉง     ตระหนักถึงสิ่งรอบตัว  เรียนรู้อยู่เสมอ และให้

                        ทุกคนทุกวันเดินทางตามเส้นทางชีวิตของตน   ส่วนประกอบที่สำคัญยิ่งของการเดินทางอย่างมีความสุขก็คือการเดินทางภายใน.