ปัญหาการควบคุมการใช้คริปโตเคอเรนซี่เพื่อการฟอกเงิน

ปัญหาการควบคุมการใช้คริปโตเคอเรนซี่เพื่อการฟอกเงิน

ในปัจจุบันรูปแบบของอาชญากรรมมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมีความหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่ออาชญากรรมที่มีความเกี่ยวพันกับเทคโนโลยี

*บทความโดย สุรินรัตน์ แก้วทอง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

                   เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นถูกนำไปใช้ในส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ และยังถูกนำมาใช้ในการเป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรมอีกด้วย ทำให้รูปแบบในการก่ออาชญากรรมที่ผ่านการใช้เทคโนโลยี จึงมีรูปแบบที่ซับซ้อนและมีความพิเศษแตกต่างจากอาชญากรรมในอดีต ส่งผลต่อการดำเนินกระบวนวิธีพิจารณาคดีทางอาญากับผู้กระทำความผิดไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับเขตอำนาจศาล ปัญหาการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ปัญหาการเข้าถึงพยานหลักฐาน ปัญหาการพิสูจน์ความผิดและการตรวจพบความผิดที่ได้มีการก่ออาชญากรรมขึ้น 

                   นอกจากนี้การเติบโตของตลาดคริปโตเคอเรนซี่ส่งผลโดยตรงต่อการนำเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ไปใช้เป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟอกเงิน เนื่องจากโดยธรรมชาติของตลาดคริปโตมีความผันผวนของราคาของเหรียญแต่ละชนิดที่ค่อนข้างสูงทำให้ง่ายต่อการนำเงินสดหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดมาแลกเปลี่ยนซื้อขายและเก็บทรัพย์สินในรูปของเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ชนิดต่างๆ

                   และเนื่องจากโดยสภาพของกฎหมายไทยที่ยังไม่ได้มีการตรวจสอบควบคุมถึงการทำธุรกรรมและการจัดเก็บทรัพย์สินในรูปของเหรียญคริปโตเคอเรนซี่มากนักทำให้การควบคุมตรวจสอบการฟอกเงินหรือการเก็บรวบรวมทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิดไว้ในรูปของเหรียญคริปโตเคอเรนซี่กลายเป็นช่องว่างหนึ่งที่ผู้กระทำความผิดนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงินและการจัดเก็บทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด

                   จะเห็นได้ว่า ปัญหาการนำเทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาใช้ในช่องทางที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีการพัฒนารูปแบบที่มีความซับซ้อนอย่างต่อเนื่อง ปัญหาการฟอกเงินโดยใช้คริปโตเคอเรนซี่เป็นหนึ่งในปัญหาที่ประเทศไทยจะต้องรับมือ

                     เมื่อพิจารณาจากบริบทของกฎหมายในปัจจุบันของประเทศไทยรวมถึงทิศทางในทางปฏิบัติยังพบว่ากฎหมายของไทยเกี่ยวกับการควบคุมและป้องกันการก่ออาชญากรรมการฟอกเงินผ่านการซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตเคอเรนซี่ยังไม่ครอบคลุมเท่าที่ควร ทำให้ผู้กระทำความผิดใช้ช่องทางดังกล่าวเป็นช่องทางในการฟอกเงินรวมถึงเป็นช่องทางในการเก็บทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด ดังนั้น ประเทศไทยควรเร่งตรากฎหมายเพื่อรับมือกับอาชญากรรมที่อาศัยการทำธุรกรรมผ่านการทำธุรกรรมในคริปโตเคอเรนซี่มาเป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน

                        สำหรับกฎหมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการควบคุมการฟอกเงินดังกล่าวได้จะต้องเป็นการกฎหมายควบคุมการซื้อขายโดยจะต้องมีการแจ้งการซื้อขายเหมือนเช่นการซื้อขายในตลาดหุ้นปกติและจะต้องมีการแจ้งการครอบครองทั้งในส่วนของการครอบครองของเอกชนแต่ละคนซึ่งมีการทำการซื้อขายด้วยตนเองหรือการครอบครองผ่านตัวแทนซึ่งทำหน้าที่ในการเป็นตัวแทนในการซื้อขาย

                   ทั้งนี้เพื่อที่จะควบคุมตรวจสอบการทำการซื้อขายและตรวจสอบว่า การซื้อขายเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ดังกล่าวเป็นไปโดยสุจริต และมีที่มาที่ไปของการนำเงินมาใช้ในการลงทุนเพื่อป้องกันการนำเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดมาใช้ในการฟอกเงินผ่านสกุลเงินคริปโตเคอเรนซี่

                   แต่ประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อมา คือ การตรากฎหมายดังกล่าวมีข้อบกพร่องบางประการหากเป็นการควบคุมโดยการใช้วิธีการตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินและแจ้งลักษณะการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งในส่วนของเอกชนและจากตัวแทนซึ่งทำหน้าที่ในการซื้อขาย

                      เนื่องจากลักษณะในการทำการลงทุนในระบบตลาดคริปโตเคอเรนซี่มีตลาดออนไลน์ ที่ตัวผู้ซื้อและผู้ขายสามารถเข้าทำการซื้อขายได้ทั้งตลาดในประเทศ ซึ่งตัวแทนที่ทำหน้าที่ในการซื้อขายสกุลเงินคริปโตเคอเรนซี่มีการจดทะเบียนได้อยู่ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย

                   หรืออาจจะกล่าวได้ว่าอยู่ภายใต้การควบคุมตามกฎหมายไทย ซึ่งการสอดส่องการฟอกเงินผ่านการทำธุรกรรมของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ สามารถทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เนื่องจากนักลงทุนคริปโตเคอเรนซี่สามารถทำธุรกรรมกับตัวแทนต่างประเทศผ่านระบบออนไลน์ได้ หากใช้วิธีการควบคุมเฉพาะตัวแทนในประเทศไทยหรือการซื้อขายภายใต้ตลาดของประเทศไทย จะทำให้นักลงทุนทั้งผู้ที่มีเจตนาในการกระทำความผิดโดยการนำเงินมาฟอกผ่านตลาดคริปโตเคอเรนซี่ หรือบุคคลที่เป็นนักลงทุนที่ไม่ได้มีเจตนาฟอกเงินแต่ต้องการจะหลบเลี่ยงความยุ่งยากและการควบคุมของรัฐบาล อาจย้ายการลงทุนของตนเองไปสู่ตัวแทนการซื้อขายสกุลเงินคริปโตเคอเรนซี่ในตลาดต่างประเทศ

                   ดังนั้น การควบคุมการฟอกเงินจึงต้องมีการควบคุมในลักษณะที่เป็นระบบภาพรวม เพื่อที่ไม่ให้การฟอกเงินผ่านสกุลเงินคริปโตเคอเรนซี่เกิดช่องโหว่ของกฎหมายและนำมาซึ่งความล้มเหลวของตลาดทุนในประเทศไทย และยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการฟอกเงินผ่านสกุลคริปโตเคอเรนซี่ได้

                     ดังนั้น การออกกฎหมายในการควบคุมการฟอกเงิน จะต้องออกมาให้ครอบคลุมทั้งในส่วนของการทำธุรกรรมกับตัวแทนในประเทศไทย รวมถึงการทำธุรกรรมในต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นที่การเป็นผู้ประกอบการหรือผู้ที่เข้ามาประกอบการในประเทศไทยหากมีการกระทำการใดที่เข้าข่ายการฟอกเงิน ไม่ว่าจะเป็น การป้องกันประเทศหรือการฟอกเงินในต่างประเทศ โดยใช้การลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่ก็ต้องมีความผิดตามกฎหมายไทย

                    ในขณะเดียวกันในทางปฏิบัติก็จะต้องสร้างความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพื่อเข้ามาควบคุมการฟอกเงินผ่านสกุลเงินคริปโตเคอเรนซี่ที่เป็นเอกภาพและสามารถนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ไม่ว่าจะเป็นการฟอกเงินในตลาดคริปโตเคอเรนซี่ในประเทศไทยหรือในต่างประเทศก็ตาม

                        นอกจากนี้สิ่งที่จะต้องทำควบคู่กับการตรากฎหมายควบคุมการก่ออาชญากรรมทางอิเล็กทรอนิกส์โดยการฟอกเงินผ่านตลาดสกุลเงินคริปโตเคอเรนซี่ คือการเตรียมความพร้อมทางด้านบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทาง เนื่องจากการก่ออาชญากรรมในลักษณะทำนองเช่นนี้เป็นการก่ออาชญากรรมที่มีความซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการก่ออาชญากรรม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่มีความพิเศษเฉพาะด้านจึงจำเป็นจะต้องใช้บุคลากรเฉพาะทางในการเข้ามาควบคุมการก่ออาชญากรรม 

                        ดังนั้น การควบคุมการก่ออาชญากรรมในลักษณะที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีควรมีการอบรมบุคลากรและจัดสรรตำแหน่งที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการควบคุมอาชญากรรมในลักษณะทำนองเช่นนี้ไว้เฉพาะทางโดยการคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีเข้ามาทำหน้าที่เพื่อให้การควบคุมการก่ออาชญากรรมเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพสูงที่สุด.