ทุกอย่างทางไกล วิถีใหม่มาถึงแล้ว

ทุกอย่างทางไกล วิถีใหม่มาถึงแล้ว

ผมเพิ่งได้รับฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์เข็มที่หนึ่งและนัดฉีดเป็นเข็มที่สองอีกภายในสองสัปดาห์ รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา

ซึ่งเป็นภูมิลำเนาที่ผมอยู่ในปัจจุบัน เปิดโอกาสให้ประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไปรับการฉีดวัคซีนได้ ทำเนียบขาวเพิ่งประกาศว่าชาวอเมริกันจะได้รับการฉีดถึง 200,000,000 เข็ม ประมาณต้นเดือนพฤษภาคม เป้าหมายคือต้องการให้มีภูมิคุ้มกันกลุ่มทั่วประเทศภายในเดือนสิงหาคมนี้ 

ชาวอเมริกันหลายคนถึงแม้มีสิทธิ์ก็ไม่ใช้สิทธิ์เรื่องนี้ ค่ายทหารหลายแห่งรายงานว่ามีผู้รับวัคซีนเพียงแค่ 48% ทั้งที่ทุกคนมีสิทธิ์ แต่เมื่อไม่มีการบังคับจึงทำให้เกิดความไขว้เขวลังเล สังคมปัจจุบันต้องระมัดระวังเรื่องการบริโภคข่าว หากเรามีบทสรุปหรือมีความเชื่ออะไรอยู่แล้ว โอกาสที่เราจะเจอข่าวที่สนับสนุนกับความเชื่อนั้นมีมาก และระบบของการคำนวนAlgorithmในโซเชียลมีเดียก็ยิ่งเสริมทำให้เราหลงเชื่อเพิ่มเข้าไปอีก 

ขอส่งกำลังใจให้ทุกท่านเตรียมพร้อมเมื่อโอกาสของท่านมาถึง รับการฉีดวัคซีน เพื่อแสดงถึงความรัก ห่วงใย และความรับผิดชอบในสุขภาพของตนเอง ครอบครัวและสังคม วัคซีนสามยี่ห้อในอเมริกาป้องกันการติดเชื้อ ได้ถึง 94-95% และป้องกันการเข้าห้องไอซียูถึง 100% สำคัญคือโอกาสที่จะตายเพราะโรคโควิดนี้ 0%

โควิด-19 ออกมาเขย่าโลก กระทบกันไปทุกแห่ง ชาวอเมริกันเสียชีวิตกว่า 545,000 คน แม้จะยังมีความกังวลเรื่องของไวรัสกลายพันธุ์ และอัตราการติดเชื้อและการเสียชีวิตยังน่าเป็นห่วง  แต่ความอดกลั้นมาหนึ่งปี และการทุ่มเททรัพยากรของภาครัฐในการให้ความหวังโดยวัคซีน ทำให้หลายคนคิดว่าชีวิตจะกลับมาเหมือนเดิม

ท่านผู้อ่านหลายท่านคงสรุปได้จากประสบการณ์ของตนเอง ว่าโอกาสที่เราจะกลับมาเหมือนเดิมนั้นคงเป็นไปไม่ได้ อารยธรรมของมนุษย์ปรับเปลี่ยนพัฒนามามากแล้ว และไม่มีเค้าว่าจะย้อนกลับ นวัตกรรมโดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ เป็นปัจจัยใหญ่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมาเสมอ และโควิด-19 กลายเป็นตัวเร่ง

ในอนาคตอันใกล้ภายในไม่เกินห้าปี มนุษย์จะคุ้นเคยและพึ่งพานวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์มากทวีคูณกว่าปัจจุบัน สิ่งท้าทายในชีวิตก็จะเพิ่มตามขึ้นมาด้วย

ความเหลื่อมล้ำในสังคม การเมืองตึงเครียด ข้อมูลที่บิดเบือนจนผู้บริโภคแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือสาระที่น่าเชื่อถือได้ โรคระบาดโควิด-19 ครั้งนี้เขย่าโลกให้ปรับเปลี่ยนทุกอย่าง ทั้งการทำมาหากิน การรักษาพยาบาล และกิจกรรมในสังคม จากเดิมเคยสัมผัสใกล้ชิดระหว่างมนุษย์กลับกลายต้องมาเป็นกิจกรรม"ทุกอย่างทางไกล (tele-everything)"

การสัมผัสผ่านดิจิตอลระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ กลายเป็นสิ่งปกติ จากเดิมเคยใช้มนุษย์ต่อมนุษย์เป็นทางเลือกที่หนึ่งและดิจิตอลเป็นสิ่งทดแทนในบางกรณี แต่ในปัจจุบันการติดต่อทางดิจิตอลเป็นมาตรฐานใหม่ และการใช้มนุษย์กับมนุษย์เป็นสิ่งที่ใช้เป็นแผนสำรอง

ตั้งแต่เดิมมาเราเคยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและสมาชิกในกลุ่ม ด้วยการใช้เวลาร่วมกันอยู่ในสถานที่เดียวกัน สูดอากาศ ฟังเสียง ใช้สายตาและอวัยวะของร่างกายส่งสัญญาณระหว่างกัน มนุษย์สัมพันธ์เป็นสิ่งที่มีคุณค่าสามารถสร้างและทำลายองค์กรได้ แต่หลังจากโลกโดนเขย่าแทบทุกอย่างหยุดชะงัก ทำแบบเดิมต่อไปไม่ได้ เราจึงต้องหันมาปรับแนวทางใหม่ ปัจจุบันและอนาคตอันใกล้นี้ คนส่วนใหญ่ยอมรับว่าถึงเวลาแล้วที่เราจำเป็นที่จะต้องพัฒนาทักษะในการใช้นวัตกรรมให้คล่องแคล่ว เพื่อจะใช้สิ่งนั้นในการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่น 

ส่วนเยาวชนรุ่นใหม่ที่เกิดมากับนวัตกรรม สิ่งนี้เป็นมาตรฐานที่พวกเขาคุ้นเคยจนเป็นธรรมชาติแล้ว Tele-everythingไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องเรียนรู้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์นั้นต่างหากที่จะเป็นสิ่งที่เขาต้องเรียน

สำหรับผู้ที่เกิดมาในยุคไม่มีดิจิตอลและต้องเรียนดิจิตอล วิถีชีวิตใหม่ในการใช้"ทางไกลทุกอย่าง" เป็นความจำเป็นเพื่ออยู่รอดไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป คนเป็นจำนวนมากเริ่มปรับตัวและพัฒนาอย่างรวดเร็วเพื่อให้มีทักษะในการติดต่อทางดิจิตอลเพื่อการทำงาน การศึกษา รักษาพยาบาล การซื้อขาย และสังสรรค์เสวนากับญาติมิตร 

สิ่งที่ต้องระวังจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

  1. ระดับบุคคลจะเกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ผู้ที่ปรับตัวได้มีความคล่องในการใช้เทคโนโลยีจะเป็นผู้ได้เปรียบและจะมีอำนาจในการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจ
  2. บริษัทใหญ่ที่ควบคุมข้อมูลและเทคโนโลยีจะสามารถกำหนดทิศทางหรือปั่นเศรษฐกิจ เพื่อสร้างข้อได้เปรียบ ปัญญาประดิษฐ์จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มอำนาจของบริษัทเหล่านี้
  3. ข่าวเท็จ และสิ่งไร้สาระจะกระจายอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเครื่องมือของผู้ประสงค์ร้ายที่เป็นกลุ่มใหญ่มีทรัพยากรมาก หรืออาจจะเกิดจากการจุดชนวนของบุคคลคนเดียวหรือจำนวนน้อยที่ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเสริมพลัง อารมณ์และทัศนคติของกลุ่มชนอาจถูกชักจูงให้เกิดความกลัวหรือความโน้มเอี่ยง การแสดงออกด้วยการใช้ความรุนแรงอาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วโดยที่ภาครัฐจะป้องกันหรือปราบปรามไม่ได้

ผลดีที่จะได้รับจากการเปลี่ยนแปลง

  1. ความหมายของประชาธิปไตยหรือความเสมอภาคจะเริ่มเปลี่ยนไป ประชาชนจะมีส่วนร่วมกับการกำหนดทิศทาง วิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจและการเมืองมากขึ้น โอกาสที่จะเข้าถึงเงินทุนจะเพิ่มมากขึ้น การแข่งขันจะยุติธรรมมากขึ้น ผู้นำและผู้บริหารประเทศจะต้องคำนึงถึงเสียงของประชาชนที่มีนวัตกรรมสื่อสารอยู่ในมือ
  2. คุณภาพชีวิตระดับบุคคลและครอบครัวจะดีขึ้น อำนาจการต่อรองในการประกอบอาชีพระหว่างนายจ้างและลูกจ้างจะยุติธรรมมากขึ้น การทำงานจากบ้านหรือเลือกสรรสิ่งแวดล้อมในการประกอบอาชีพจะมีทางเลือกมากขึ้น คุณภาพของชุมชนก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
  3. เราจะมีทางเลือกแห่งชีวิตที่มีประสิทธิภาพและประหยัดเวลา ผลตอบแทนต่อบุคคลจะสูงขึ้น การรักษาสุขภาพเพิ่มความรู้และความเป็นอยู่ในชุมชนจะดีขึ้น

นวัตกรรมมีคุณอนันต์และโทษมหันต์ ปัญญาประดิษฐ์ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพของสมองมนุษย์ยิ่งทำให้คุณอนันต์และโทษมหันต์นั้นเพิ่มทวีคูณ 

การวางแผนลงทุนในปัจจุบันต้องพิจารณาเงื่อนไขที่เกิดขึ้นจากนวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์เป็นตัวหลัก ภัยที่เกิดขึ้นหรือสิ่งท้าทายที่เกินวิสัยของมนุษย์ที่จะรับมือได้ก็จะมีเครื่องมือทางนวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วย การผลิตวัคซีนจำนวนมหาศาลในระยะเวลาอันสั้นกว่าปกติของอเมริกาเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดมาก เพราะไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ที่เราทำได้

มหาอำนาจที่กำลังจะเพิ่มขีดความสามารถเข้ามาแข่งขันจัดระบบใหม่ในโลกเช่นจีนและอินเดียก็มีสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจมีหลายอย่างที่จีนและอินเดียเทียบเท่าหรือแซงอเมริกาไปแล้ว ประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาอีกหลายประเทศอาจได้รับผลประโยชน์ โอกาสในการแข่งขันของประเทศที่เล็กกว่าก็จะเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกับประชาชนที่มีสิทธิ์เสียงในการกำหนดทิศทางและนโยบายของประเทศโดยการใช้นวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์

ไทยต้องดำเนินยุทธศาสตร์ของความเป็นกลางและรู้จักรักษาความสมดุลย์ระหว่างมหาอำนาจในภูมิภาคและข้ามทวีป การรับนวัตกรรมจากมหาอำนาจทั้งหลายเข้ามาใช้ให้เหมาะสมในประเทศเราเป็นศิลปะที่เราเคยพิสูจน์มาแล้วหลายชั่วคนว่าความเปลี่ยนแปลงและอิทธิพลจากรอบด้านนั้นย่อมไม่เกินความสามารถของไทยที่จะรับมือได้ (คล้ายกับอาหารไทยซึ่งรับความคิดมาจากทั่วโลก ประกอบดัดแปลงกับสิ่งดีในท้องถิ่น เป็นอาหารยอดนิยมที่โลกยกย่อง)

งานที่น่าเบื่อสกปรกและอันตรายจะถูกทดแทนโดยนวัตกรรม (dull, dirty & dangerous jobs) สมรรถนะของสมองกลและหุ่นยนต์กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดดังนั้นท่านที่กำลังศึกษาหรือวางแผนในการประกอบอาชีพควรพิจารณาให้รอบคอบหลีกเลี่ยงงาน 3-D เหล่านี้ อาชีพหลายอย่างที่มาจากการศึกษาซึ่งเน้นความสามารถพิเศษและมีผลตอบแทนโดยรายได้สูงในปัจจุบัน (วิทยาศาสตร์ การแพทย์ วิศวกรรม อุตสาหกรรม เกษตรกรรมฯลฯ) หากถูกทดแทนได้โดยสมองกลและหุ่นยนต์ก็น่าเป็นห่วงครับ

สิ่งที่นวัตกรรมจะแข่งกับเราไม่ได้คือความเป็นมนุษย์ การมีอารมณ์อ่อนไหวความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวและใช้วิจารณญาณ บวกสัญชาตญาณของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษ ผู้ที่วางแผนการศึกษาและการประกอบอาชีพซึ่งเน้นถึงความละเอียดอ่อนของมนุษย์ (มนุษย์ศาสตร์ รัฐศาสตร์ ศิลปกรรม จิตวิทยา ปรัชญาฯลฯ)มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงมากในอนาคตเพราะสมองกลและหุ่นยนต์จะทดแทนไม่ได้

ในยุคที่ทุกอย่างทางไกล เราควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับทุกอย่างที่ใกล้ เริ่มต้นที่การดูแลสุขภาพและพัฒนาคุณภาพของจิตใจ และบุคคลรอบข้างที่เรารัก มนุษย์ต่อมนุษย์ ตาต่อตา ใจต่อใจ สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรทดแทนได้ครับ