เมื่อวัคซีนแผลงฤทธิ์ พิชิตรัฐมนตรี

เมื่อวัคซีนแผลงฤทธิ์ พิชิตรัฐมนตรี

นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีหลายคน ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด เรียบร้อยแล้ว

วันนี้ ผมจะเล่าเรื่อง วัคซีน กับ รัฐมนตรี แต่จะพาคุณไปไกลหน่อย คือไปถึง เปรู อาเจนติน่า และ เอกวาดอร์ และเร่ิมต้นด้วยคำถามว่า ประเทศนี้ เหมือนกันตรงไหน?

เหมือนกันตรงที่ทุกประเทศ อยู่ในทวีปอเมริกาใต้ และทุกประเทศได้รับวัคซีน เพื่อนำไปฉีดให้ประชาชน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เป็นต้นมา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าดีใจ

แต่เรื่องที่น่าเสียใจ ก็คือวัคซีนโควิด แผลงฤทธิ์ให้รัฐมนตรีของ 3  ประเทศนี้ ต้องหลุดจากตำแหน่งไปถึง 4 คน รวมถึง ประธานาธิบดี อีก 1 คนด้วย!

ที่เปรู ประธานาธิบดี ได้เจรจากับจีน ตั้งแต่เดือน กันยายน 2020 เพื่อซื้อวัคซีนซิโนฟาร์ม จำนวน 1 ล้านโดส

แต่ข่าวที่ถูกเปิดเผยออกมาภายหลัง บอกว่า หลังจากนั้นเพียงเดือนเดียว ในเดือน ตุลาคม 2020 เขาและภรรยา ก็ได้แอบไปฉีดวัคซีนแบบลับๆ และยังได้นำวัคซีน 2000 โดส มาฉีดให้กับบุคคลสำคัญในรัฐบาล แบบลับๆ อีกด้วย

ในที่สุด ประธานาธิบดี ก็ยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นความจริง และถูกกดดันจนต้องลาออก เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2020

แต่ยังไม่จบครับ เดือน กุมภาพันธ์ 2021 รัฐมนตรีสาธารณสุข ก็ต้องลาออกเช่นกัน เพราะถูกกดดันว่าร่วมกันปกปิดข้อมูล

หลังจากนั้นอีกเพียง 3 วัน รัฐมนตรีต่างประเทศ ก็ต้องลาออกไปด้วยอีกคน โดยยอมรับว่า ตนเองก็ได้ฉีดวัคซีนไปแล้วหนึ่งเข็ม และฉีดตั้งแต่ มกราคม 2020 ก่อนบุคลากรการแพทย์  เขารู้สึกผิด จึงขอลาออก และจะไม่ฉีดเข็มที่สอง เพื่อรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น

ก่อนลาออก รมต. ถูกกดดันจากแพทย์และประชาชน ที่ออกมาประณามพฤติกรรมเห็นแก่ตัว เพราะในขณะนั้น แพทย์เปรูได้เสียชีวิตไปแล้ว เกือบ 400 คน จากการรักษาผู้ป่วยโควิด

ล่าสุด รมต. สาธารณสุขคนใหม่ ได้เสนอต่อประธานาธิบดีคนปัจจุบันให้ ปลดเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างลับๆ ก่อนการฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์... ผมว่าแบบนี้ ดีแล้วครับ!

นี่แค่เปรูประเทศเดียวเท่านั้น ลองไปดู ที่อาร์เจนตินาบ้าง แบบย่อๆ ก็แล้วกันนะครับ

เรื่องราวก็คล้ายกับเปรู เพราะปลายเดือนกุมภาพันธ์ มีข้อมูลหลุดออกมาว่า รมต. สาธารณสุข และครอบครัว ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างไม่เปิดเผย

และต่อมา ได้มีการเผยแพร่ VIP List ซึ่งมีชื่อบุคคลจำนวน 70 คน ที่มีสัมพันธ์กับ รมต. และได้รับสิทธิพิเศษ “ลัดคิว” ฉีดวัคซีนก่อนผู้อื่น

แน่นอนครับ รมต. สาธารณสุข ของอาร์เจนตินา หลุดจากตำแหน่ง อย่างช่วยไม่ได้จริงๆ

แล้วก็ตามมาติดๆด้วย เอกวาดอร์ เมื่อ รมต. สาธารณสุข ก็ต้องลาออกเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ ด้วยสาเหตุคล้ายกันครับ 

ข้อกล่าวหาคือรัฐมนตรีสาธารณสุข มีส่วนเกี่ยวข้องในการนำวัคซีน ไปฉีดให้กับผู้สูงอายุ ในเนอร์สซิ่งโฮมแห่งหนึ่ง ซึ่งคุณแม่ของรัฐมนตรีก็พำนักอยู่ที่นั่นด้วย

รัฐมนตรีต้องยื่นหนังสือลาออกต่อประธานาธิบดี ส่วนประธานาธิบดีก็ประกาศให้กำลังใจ โดยกล่าวว่าเขาเคารพในความเห็นของประชาชน ที่มองว่าเป็นความผิด แต่เขาก็ขอชมเชยในความเสียสละของรัฐมนตรี ที่ยินดีเข้ามารับภารกิจที่ยากลำบาก ในการต่อสู้กับโควิด ในขณะนี้

ฟังดูเหมือน รมต. ต้องพ่ายแพ้กระแสสังคม อะไรทำนองนั้น เราก็ไม่รู้ข้อเท็จจริงหรอกนะ แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า รมต. ไม่ทันได้คิด แค่ทีมงานอยากทำ พีอาร์ ก็เลยจัดการให้ไปที่นั่นก่อน เลยจบลงแบบนี้

สรุปว่า 3 ประเทศ 4 รัฐมนตรี และ 1 ประธานาธิบดี หลุดจากตำแหน่งด้วยสาเหตุคล้ายกัน คือคนมีอำนาจ แอบรับสิทธิพิเศษ ไม่เพียงก่อนประชาชนทั่วไปเท่านั้น แต่ก่อนแพทย์และพยาบาล และผู้สูงอายุเกิน 60 ปี อีกด้วย 

ทำให้ผมอดถามไม่ได้ว่า คนระดับนี้ ทำไมจึงคิดได้แค่นี้ ผมว่าคงหนีไม่พ้น วิธีคิดที่ว่า “ญาติ” และ “เพื่อนฝูง” ต้องมาก่อน หรือที่เรียกว่า Nepotism และ Cronyism นั่นแหละครับ 

ถ้าไม่เปลี่ยนความคิดเช่นนี้ ในที่สุดชีวิตและความสำเร็จของตน ก็จะพังทลายลง เหมือนตัวอย่างข้างต้น ส่วนประเทศไทยเรา เป็นสังคมอุปถัมภ์ เราก็มีทั้ง Nepotism และ Cronyism มานานมาก จนนำประเทศไปสู่วิกฤตการณ์เมื่อปี 2540 ล่มสลายกันทั้งประเทศไปแล้ว 

บทเรียนจากปี 2540 ผมว่าอะไรๆ ก็ค่อยดีขึ้นบ้าง เพราะระบบตรวจสอบในสังคมดีขึ้น แต่ไม่ได้หมดไปหรอกครับ เพียงแต่ผู้มีอำนาจ ทำสิ่งเหล่านั้นได้ยากขึ้น เท่านั้นเอง 

การฉีดวัคซีนโควิดในไทย ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ อาจมีข้อวิพากวิจารณ์อยู่บ้าง แต่ต้องถือว่ายังไม่มีอะไร ที่เป็นที่ข้อครหาใหญ่โตในสังคม  

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม ผมจัดรายการคลับเฮ้าส์ ปรากฎว่ารมต. สาธารณสุข อนุทิน ชาญวีรกูล ให้เกียรติเข้ามาร่วมฟัง (มาแบบเซอร์ไพร์ซ) วันนั้นก็เลยได้คุยกันหลายเรื่อง แต่ไม่ได้พูดเรื่องวัคซีน เท่าใดนัก 

ผมเลยถือโอกาสเล่าเรื่องในคอลัมน์นี้ ถ้าหาก “พี่หนู” มีโอกาสอ่าน จะได้ระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น ไม่ให้เหตุการณ์ทำนองนี้ เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา 

เพราะไม่มีใครอยากเห็นพี่หนู ต้องยื่นหนังสือลาออกต่อลุงตู่ ด้วยเรื่องนี้หรอกครับ 

อ้าว! ผมใช้คำว่า “พี่หนู” กับ “ลุงตู่”…แล้วนี่ผม Nepotism กับ Cronyism ด้วยหรือเปล่าเนี่ย?