จากท่ามกลางความตายในอเมริกา
วันพฤหัสบดีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นวาระครบรอบ 1 ปีที่องค์การอนามัยโลก ประกาศการระบาดของไวรัสโควิด-19เป็นการระบาดระดับโลก
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกมาปราศรัยต่อชาวอเมริกันเนื่องในวันครบรอบนั้นอันเป็นการปราศรัยครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา เนื้อหาและน้ำเสียงของเขาต่างกับของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แบบหน้ามือกับหลังมือ เมื่อพูดถึงการระบาดของไวรัสครั้งนี้
กล่าวคือ นายไบเดนมองว่ามันเป็นปัญหาใหญ่หลวงที่ชาวอเมริกันต้องร่วมมือกันแก้ต่อไป ส่วนนายทรัมป์มองว่ามันเป็นปัญหาจิ๊บจ๊อยจึงไม่ฟังผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ ซ้ำร้ายยังทำให้มันเป็นเรื่องการเมืองอีกด้วย การแก้ปัญหาจึงยิ่งยากลำบากขึ้น จุดยืนของนายทรัมป์เป็นปัจจัยใหญ่ที่ส่งผลให้โควิด-19 ทำชาวอเมริกันเจ็บป่วยและตายมากที่สุดในโลกมาเป็นเวลาเกือบปี
จุดยืนของนายทรัมป์ก่อให้เกิดคำถามจำนวนหนึ่ง ซึ่งคงนำไปสู่การถกเถียงกันแบบหัวชนฝาว่าเขามองโลกเช่นนั้นจริงหรือไม่ อาทิ คำถามเกี่ยวกับด้านการยืนอยู่ข้างกับชาวอเมริกันจำนวนมากที่มองว่าการบังคับให้สวมหน้ากากอนามัยป้องกันไวรัสเป็นการคุกคามอิสรภาพของพวกเขา เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปในสังคมอเมริกันว่า ชาวอเมริกันเหล่านั้นเป็นฐานการเมืองของนายทรัมป์ ฉะนั้น เขาต้องเอาใจทั้งที่รู้อยู่ว่าหน้ากากสามารถป้องกันการระบาดของไวรัสได้แน่นอน
คำถามต่อไปได้แก่นายทรัมป์รังเกียจผิวสูงมากตามการมองของชาวอเมริกันส่วนหนึ่งหรือไม่ เนื่องจากชาวอเมริกันส่วนใหญ่ที่ตายมิใช่ชนผิวขาว เขาจึงสะใจมากกว่า แทนที่จะมองว่าทุกคนเป็นอเมริกันเช่นเดียวกับตน คำถามนี้นำไปสู่คำถามต่อไปซึ่งมาจากข้อมูลที่บ่งชี้ว่า ชาวอเมริกันที่ตายส่วนใหญ่อยู่ในวัยชรา นายทรัมป์ไม่ใส่ใจในความตายของคนชราเพราะมองว่าพวกเขาไม่มีประโยชน์ทางเศรษฐกิจในแง่ที่ไม่มีการผลิต มีแต่การบริโภคเท่านั้น
การมองโลกแบบนี้อาจจะมีอยู่ในนวนิยายของนักเขียนชาวสวีเดนซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า The Unit เท่านั้น แต่ก็จะไม่มีใครสามารถฟันธงลงไปได้ว่า ไม่มีผู้คิดในแนวดังกล่าวในโลกของความเป็นจริง
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ขณะนี้สังคมอเมริกันมีวัคซีน 3 ตัว ชาวอเมริกันนับล้านเข้ารับการฉีดทุกวันและคาดว่าอีกไม่นานจะมีวัคซีนเพียงพอสำหรับทุกคน อย่างไรก็ดี มีชาวอเมริกันนับล้านที่ไม่ยอมรับวัคซีนด้วยเหตุผลต่างๆ รวมทั้งมองว่ามันไม่ปลอดภัยทั้งที่ข้อมูลบ่งว่าโอกาสที่จะแพ้วัคซีนแบบร้ายแรงแทบไม่มี
ยิ่งในขณะนี้มีรายงานเรื่องการเกิดลิ่มเลือดอุดตันจากวัคซีนที่ใช้อยู่ในยุโรป มุมมองนี้ยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นและอาจจะทำให้ไวรัสกลับมาระบาดอย่างหนักในสหรัฐอีก ประธานาธิบดีอเมริกันที่ยังแข็งแรงทั้งคนปัจจุบันและในอดีต จึงออกมารับวัคซีนและชักชวนให้ชาวอเมริกันทำตาม รายงานบ่งว่านายทรัมป์เองเข้ารับวัคซีนทั้งที่ตนป่วยด้วยโควิด-19และรักษาหายและมีภูมิคุ้มกันในระดับหนึ่งแล้ว แต่เพิ่งออกมาบอกชาวชาวอเมริกันว่าตนทำและชักชวนให้ชาวอเมริกันทำตามเมื่อวันพุธนี้เอง
เนื่องจากผมเป็นผู้สูงวัยอยู่ในสังคมอเมริกัน จึงขอเรียนประสบการณ์เกี่ยวกับวัคซีน ภรรยากับผมเข้ารับวัคซีนพร้อมกันในฐานะผู้สูงวัย ลูกคนหนึ่งเข้ารับในฐานะผู้ทำงานด้านการศึกษา ส่วนลูกอีกคนไม่เข้าข่ายของผู้ควรได้รับในตอนต้น จึงต้องรอไปจนถึงเดือน พ.ค. เมื่อรัฐบาลคาดว่าจะมีวัคซีนพอสำหรับทุกคน ผมมีเพื่อนจำนวนหนึ่งซึ่งเข้ารับวัคซีนแล้วเช่นกัน ไม่มีใครแพ้ร้ายแรงนอกจาก 2 คนมีอาการไข้ในตอนเย็นวันฉีด หลังจากนั้นมีอาการปวดและอ่อนเพลีย แต่ก็หายหลังกินยาแก้ปวดและเพียงไม่กี่วันอาการก็ยุติ
การติดตามความเป็นไปในสังคมอเมริกันและประสบการณ์ของตัวเองโน้มน้าวใจให้ผมสรุปว่า จุดยืนและการกระทำของผู้นำมีความสำคัญยิ่งในการสู้กับไวรัสครั้งนี้และชาวไทยโดยทั่วไปควรยินดีรับวัคซีนเมื่อมีโอกาส ขอให้ทุกคนปลอดภัย.