3 หนุ่ม 3 มุม เจ้าพ่อธนาคารกลาง: พาวเวล ไบลีย์ และคูโรดา
สัปดาห์นี้ถึงคิวของ 3 ธนาคารกลางหลักของโลก ที่ต่างพาเหรดกันประชุมในช่วงกลางถึงท้ายสัปดาห์นี้ อันประกอบด้วย สหรัฐ อังกฤษ ญี่ปุ่น
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คริสติน ลาร์การ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป ได้ประกาศผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มขึ้นด้วยการประกาศที่จะเร่งความเร็วต่อช่วงเวลาในการซื้อตราสารทางการเงินระยะปานกลางหรือ QE ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจยุโรปให้กลับมาคึกคักเหมือนกับก่อนโควิดให้เร็วขึ้น
ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยุโรปถือว่ายังอีกนานเลยกว่าจะถึงเป้าหมายที่วางไว้ มาถึงสัปดาห์นี้ ก็มาถึงคิวของ 3 ธนาคารกลางหลักของโลก ที่ต่างพาเหรดกันประชุมในช่วงกลางถึงท้ายสัปดาห์นี้ อันประกอบด้วยธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ธนาคารกลางอังกฤษ และธนาคารกลางญี่ปุ่น
เริ่มจากเฟดก่อน ในการประชุมคืนนี้ เจย์ พาวเวล ประธานเฟด หลังจากผ่านเหตุการณ์ ‘Inflation Panics’ โดยไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม อย่างที่ผมเขียนไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยการสัมภาษณ์กับทางวอลล์ สตรีท เจอร์นัล ทำให้พาวเวลไม่น่าจะมีทางเลือกอื่นในการประชุมครั้งนี้ นอกจากจะต้องออกมาย้ำถึงประเด็นการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐท่ามกลางโควิดให้มากที่สุด โดยต้องไม่เน้นถึงเรื่องเงินเฟ้ออย่างที่ทำมาตลอดหลังจากโควิดเกิดขึ้น
ทว่าคำถามต่อไปคือ แล้วพาวเวลจะขยับนโยบายการเงินใหม่ๆอะไรหลังจากนี้ ผมมองว่าน่าจะมีอยู่ 2 มาตรการที่มีโอกาสจะนำมาใช้ ได้แก่ หนึ่ง มาตรการ Operation Twists หรือเฟดทำการขายตราสารทางการเงินระยะสั้นเพื่อทำให้อัตราดอกเบี้ยขึ้น พร้อมกับทำการซื้อตราสารทางการเงินระยะยาวเพื่อทำให้อัตราดอกเบี้ยลง
ซึ่งสมัยเบน เบอร์นันเก้ อดีตประธานเฟด ก็ได้เคยนำมาใช้กับปัญหาที่เส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยในช่วงนั้นมีความชันสูงเกินไป หลังจากผ่านวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 ไปราว 3-4 ปี โดยในแง่ของวิวัฒนาการของภาวะเศรษฐกิจสหรัฐหลังช่วงวิกฤตโควิด
เมื่อเปรียบเทียบกับครั้งที่แล้วในระยะเวลาเดียวกัน จะพบว่าผลกระทบต่อเส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยนั้น ถือว่ามีความคล้ายคลึงกันในระดับหนึ่ง ทำให้อย่างเร็วสุดในปีหน้า ผมมองว่าพาวเวลอาจจะหยิบเครื่องมือ Operation Twists กลับมาปัดฝุ่นใช้อีกครั้ง เพื่อทำให้ระดับอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลาต่างๆเป็นไปอย่างที่เฟดต้องการ
มาตรการที่สอง มาตรการ Yield Curve Control หรือการประกาศอัตราดอกเบี้ยระยะเวลาหนึ่งๆให้อยู่ในระดับที่ต้องการ ด้วยการซื้อตราสารทางการเงินระยะเวลานั้นแบบไม่จำกัด
ซึ่งผมมองว่าพาวเวลคงยังไม่ใช้มาตรการนี้ เนื่องจากจะมีข้างเคียงต่อค่าเงินดอลลาร์และความน่าเชื่อถือของเฟด หากทำได้ไม่ตรงตามเป้า ยกเว้นเสียแต่ว่าตลาดพันธบัตรสหรัฐจะเกิดความโกลาหลแบบสุดๆ คล้ายกับช่วงเดือนมีนาคม ปี 2020
ข้ามมาฝากธนาคารกลางอังกฤษกันบ้าง แอนดริว ไบลีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ น่าจะมีท่าทีสำหรับการประชุมในครั้งนี้ ที่ตรงข้ามกับพาวเวล นั่นคือต้องสร้างความหวังให้กับตลาดในมุมที่ว่า เขาเองก็เริ่มที่จะระวังเงินเฟ้อมากขึ้นเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษเพิ่มจากร้อยละ 0.4 เมื่อต้นปี มาอยู่ที่ร้อยละ 0.8 เมื่อเดือนที่แล้ว
อย่างไรก็ดี ไบลีย์คงจะไม่รีบที่จะขยับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ขึ้นมาในปีนี้เป็นแน่แท้ เนื่องจากสถานการณ์โควิดในยุโรปยังมีแววว่าจะเกิดโควิดระลอกสาม ไม่ว่าจะเป็นอิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมัน และโปแลนด์ ต่างโดนกระทบกันทั่วหน้า ซึ่งจะส่งผลต่อการประเมินภาพเศรษฐกิจยุโรปไตรมาสหนึ่ง 2021 ที่หลายคนมองไว้ว่าจะดีขึ้นกว่าไตรมาสก่อนค่อนข้างมาก แล้วจะกลับมาส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจอังกฤษ ที่แน่นอนว่าต้องรับผลลัพธ์จาก Brexit ที่จะทำให้การส่งออกลดลงกว่าร้อยละ 40
ท้ายสุด ข้ามมาฝั่งธนาคารกลางญี่ปุ่น ฮารูอิโกะ คูโรดา ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น มีแนวโน้มว่าจะประกาศให้มาตรการหลักทั้งสาม อันประกอบด้วย การตรึงอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะเวลา 10 ปีให้เท่ากับหรือใกล้เคียงศูนย์ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ต่ำกว่าร้อยละ -0.1 และการซื้อตราสาร ETF ตราสารทุน มูลค่า 6-12 ล้านล้านเยน ยังคงดำเนินต่อไป
อย่างไรก็ดี อาจจะมีการเพิ่มช่วงของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะเวลา 10 ปีให้กว้างขึ้นกว่าเดิม รวมถึงการเน้นให้อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในแดนติดลบให้ลบมากกว่าเดิมเล็กน้อย รวมถึงอาจเป็นไปได้ว่า อาจมีการลดตัวเลขขั้นต่ำของการซื้อ ETF ตราสารทุนลงมาจากเดิม
ที่สำคัญ คูโรดาน่าจะย้ำว่าการต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่เป็นลบและเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ยังโตด้วยอัตราที่ต่ำของธนาคารกลางญี่ปุ่นนั้น จะยังคงเดินหน้าต่อไป รวมถึงจะมีมาตรการที่เข้มข้นมากกว่าเดิมอีก แม้จะยืดเยื้อยาวนานมากว่า 8 ปีแล้วก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะสามารถชนะสงครามนี้ได้ก็ตามที.
หมายเหตุ: หนังสือแนวการลงทุนด้วยการใช้ข้อมูลและแนวคิดเชิงมหภาคแบบทุกมิติ ‘หุ้น Avengers: Infinity Stock’ ผลงานหนังสือเล่มที่ 5 ของผู้เขียน วางตลาดที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศแล้ว