มาเป็นคนแก่ที่น่ารักกัน

มาเป็นคนแก่ที่น่ารักกัน

มีผู้แปลบทสัมภาษณ์ของ จู หยงจี (Zhu Rongji) อดีตนายกรัฐมนตรีจีน วัย 93 ปี เกี่ยวกับการปฏิบัติตนของคนแก่ ไว้อย่างน่ารับฟังอย่างยิ่ง

จู หยงจี (Zhu Rongji) อดีตนายกรัฐมนตรีจีน (1998-2003) เป็นผู้ทรงปัญญาที่น่านับถือในสังคมจีน ครอบครัวของเขาเป็นลูกหลานของ Zhu Yuanzhang จักรพรรดิจีนองค์แรก (1328-1398) ของราชวงศ์หมิง พ่อตายก่อนเขาเกิดและแม่ตายตอนอายุ 9 ขวบ ลุงเป็นผู้ดูแลเขาจนเรียนจบมหาวิทยาลัย Tsinghua อันมีชื่อเสียง

มีผู้แปลบทสัมภาษณ์ของจู หยงจี เกี่ยวกับการปฏิบัติตนของคนแก่ ซึ่งปรากฏในอินเทอร์เน็ต ผมขอนำมาปรับเพื่อสื่อสารต่อดังนี้

(1) การที่คุณมีอายุมากไม่ได้แปลว่าคุณจะดีเด่นหรือควรได้รับอภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่น อย่าไปตั้งเงื่อนไขอะไรมากมายในเรื่องว่า “อะไรควร” และ “อะไรไม่ควร” เช่น หากมีคนเรียกคุณว่า “ตาแก่” ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร และหากมีคนเรียกคุณว่า “คุณตา” ก็แค่แปลว่าคนเรียกนั้นมีพื้นฐานมาจากการอบรมบ่มเพาะที่ดี

(2) ตระหนักเสมอว่าไม่ใช่ทุกคนยินดีที่จะฟังเรื่องราวในอดีตของคุณ ยุคปัจจุบันไม่ใช่ยุคสมัยที่ผู้คนสนใจเกียรติประวัติที่ผ่านมาหรอก ยุคสมัยได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้น ขอเตือนคุณว่าเวลาที่คุณจะเล่าเรื่องในอดีตของคุณควรเล่า “แต่พองาม”

(3) อย่าพยายามก้าวก่ายเรื่องของคนอื่นโดยเฉพาะของคนในครอบครัวคุณเอง พึงระลึกว่าการอบรมสั่งสอนหลานๆ เป็นธุระของลูกของคุณ ไม่ใช่หน้าที่ของคุณ ถ้ายังร่วมอาศัยในบ้านเดียวกันกับลูก คุณต้องไม่ทำตัวจุกจิกจู้จี้ขี้บ่นอย่างเด็ดขาด ต้องพยายามทำตัวเหมือนเป็นที่ปรึกษา กล่าวคือพร้อมที่จะให้คำปรึกษาอย่างดีและเต็มที่ แต่คุณจะไม่ทำเกินหน้าที่หรือทำผิดบทบาท

(4) พึงระลึกว่าตารางชีวิตของคนหนุ่มคนสาวมักยุ่งเหยิงวุ่นวายมาก ลูกของคุณอาจคิดถึงคุณเหมือนกัน แต่อาจงานยุ่งมากจนหาเวลาโทรศัพท์มาถามทุกข์สุขไม่ได้ ถ้าคุณเสียอารมณ์กับเรื่องแบบนี้ รังแต่จะทำให้เสียความรู้สึกต่อกันทั้ง 2 ฝ่าย

(5) อย่ามัวคาดหวังการตอบแทนบุญคุณจากผู้อื่นในเรื่องที่คุณเลือกที่จะทำเอง คุณต้องไม่ลำเลิกบุญคุณคน จงจำไว้ว่าต้องไม่คิดอยากได้รับสิ่งตอบแทนสำหรับสิ่งหรือเรื่องราวที่คุณได้เคยอุทิศ เคยทำ หรือเคยให้คนอื่น มิฉะนั้นแล้วมันรังแต่ทำให้ “ผู้ (เคย) รับ (สิ่งของ ความช่วยเหลือ บุญคุณ) จากคุณรู้สึกอึดอัด”

(6) อย่าแม้แต่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงผู้อื่น การที่น้องหนูข้างบ้านนุ่งกระโปรงแสนสั้นออกจากบ้านเป็นความพอใจของเขา การที่คู่ชีวิตคุณไม่เก็บข้าวของให้เป็นที่เป็นทางนั้น มันเป็นความเคยชินที่ถูกสั่งสมมาเป็นเวลาช้านานแล้ว จะว่าไปตัวคุณเองก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน ดังนั้น การที่คุณคาดหวังจะเปลี่ยนแปลงคนอื่นนั้น ทำไมไม่ลองเปลี่ยนมุมมองและหัดอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ซึ่งดีกว่าการชี้นิ้วสั่งให้คนอื่นทำตามที่ตนเองต้องการ อีกทั้งทำให้คนอยู่ด้วยสบายใจ

(7) ต้องหัดเป็นคนใจกว้างและสง่างาม ไม่ว่าคุณจะมีเงินมากหรือน้อยก็ตาม ต้องรู้จักขอบคุณคนอื่น ต้องมีสติและรู้จักใช้ปัญญาในการบริหารเงินของคุณ เงินที่ต้องใช้จ่ายก็อย่าได้ตระหนี่ คุณสมควรนำเงินที่อุตส่าห์หามาตลอดชีวิตไปทางที่เหมาะอย่างสปอร์ต ดีกว่าตัวตายแล้วยังมีเงินที่ยังเหลืออยู่มากมาย แต่คุณก็ไม่ควรผลาญเงินที่สะสมมาตลอดชีวิตไปอย่างฉับพลัน เพราะมันไม่ฉลาดเลยที่จะขอเงินใช้จากลูกๆ ตอนที่เงินของตัวเองหมดเกลี้ยงแล้วแต่ยังมีชีวิตอยู่

(8) จงระลึกไว้ว่าภาพลักษณ์คนเรานั้นมีความสำคัญ คุณต้องไม่เกียจคร้านในการแต่งเนื้อแต่งตัวและดูแลสุขภาพอนามัย เนื่องจากการปล่อยเนื้อปล่อยตัวทำตัวสกปรกส่งผลต่อภาพลักษณ์ การปรากฏกายที่สะอาดของคุณไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัวคุณเท่านั้น หากมันเป็นภาพลักษณ์ของครอบครัวและเป็นหน้าตาของลูกหลานคุณด้วย

(9) คุณต้องเรียนรู้ที่จะ “ตัด สละ และจาก” จากสิ่งที่รักหรือครอบครองอยู่ อย่าสะสมของไว้ในบ้านจนทำให้บ้านเป็นเหมือนร้านขายของเก่า ดังนั้น สิ่งที่คุณควรทำคือ (ก) รีบกำจัดสิ่งของหรือของสะสมที่ไร้ประโยชน์ (ข) ของที่ยังเป็นประโยชน์จัดให้อยู่ถูกที่ถูกทาง

(10) ต้องยึดหลักว่าตัวเองจะต้องอยู่อย่าง “เป็นไท” พร้อมๆ ไปกับ “การคบหาเพื่อนใหม่ๆ” อย่าคิดแต่พึ่งพิงลูกๆ ที่จะมาเป็นเพื่อนแก้เหงา ทุกครอบครัวล้วนอยากให้ลูกๆ เมื่อเติบใหญ่ปีกกล้าขาแข็งสามารถยืนอยู่บนขาตนเองได้ คุณก็เหมือนกัน ดังนั้น คุณต้องยอมรับความจริงและเผชิญกับความว้าเหว่ที่ตามมาอย่างหาญกล้า

การที่เด็กกำพร้าแต่เยาว์วัยคนหนึ่งจะสามารถเติบโตขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ ที่ทรงพลังของโลกและเป็นคนแก่ที่น่ารักได้นั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา คำแนะนำของชายวัย 93 ปีผู้นี้จึงน่ารับฟังอย่างยิ่ง.