เปลี่ยนไม่ได้สักที

เปลี่ยนไม่ได้สักที

ใครๆก็พูดว่าต้องมีความเป็นปกติใหม่ ใครๆก็พากันบอกว่าต้องมี New Normal ทุกคนตระหนักดีว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนหนทางการทำงานได้แล้ว

ถ้าชอบคำหรูหราก็ต้องบอกว่าให้ทำ Self Disruption แทนที่จะรอให้คนอื่นมา Disrupt ตนเอง เปลี่ยนเสียก่อนที่คนอื่นมาทำให้ต้องเปลี่ยน ซึ่งใคร ๆก็ทราบความจำเป็นนี้เป็นอย่างดี แต่มีแค่ไม่กี่คนที่สามารถทำตามที่รู้ได้ หลายคนยังเดินหน้าแบบเดิม ๆทั้ง ๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าได้เวลาสำหรับการปรับเปลี่ยนตนเองแล้วในขณะนี้ รู้ดีว่าต้องเปลี่ยน แต่รีรอไม่ยอมเปลี่ยน

 เหตุที่เปลี่ยนการงานกระทำไม่ได้ง่ายๆ เพราะเราห่วงว่าขณะที่เปลี่ยน คนรอบตัวเราอาจจะลำบากมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เลยยอมการยึดติดกับความสบายที่มีอยู่ในวันนี้ ยอมอยู่แบบเดิม ๆไปเรื่อย ๆอยู่สบาย ๆให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  หรือแม้ว่าจะไม่มีอะไรลำบากมากมายเกิดขึ้น คนรอบตัวที่ยังมองไม่เห็นความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะถูกบังคับให้เปลี่ยน  มักจะแปลงร่างเป็นฝ่ายค้าน

เพราะดูเหมือนว่าเรากำลังทอดทิ้งความสำเร็จที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา จึงเป็นธรรมดาที่คนรอบตัวจะทั้งห้ามปราม ทั้งแสดงความเป็นห่วง เจอเป็นประจำเรี่ยวแรงจะปรับเปลี่ยนตนเองก็จะลดน้อยถอยลงไปอย่างแน่นอน และไม่ง่ายที่จะอธิบายให้คนรอบตัวรับรู้ว่าจะทิ้งเรื่องที่เคยสร้างความสำเร็จไปทำไม

 การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ทำให้ความมั่นคงของรายได้ลดน้อยถอยลงในระหว่างที่กำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งนอกจากจะหาเรื่องลำบากด้วยการละทิ้งเรื่องที่คุ้นเคยและทำได้ง่าย ๆ ไปทำเรื่องใหม่ที่ยากกว่าแล้ว ยังดูเหมือนกับว่ากำลังหาเรื่องลำบากในด้านรายได้เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย

ความท้าทายนี้ทำให้เรารีรอที่จะปรับเปลี่ยนตนเอง การเปลี่ยนแปลงยากขึ้นเมื่อต้องยอมละทิ้งความมั่นคงทางรายได้ ไปหาความเสี่ยงใหม่ทั้ง ๆที่วันนี้ยังไม่เห็นการคุกคามที่ชัดเจน

 การปรับเปลี่ยนไม่มีอะไรที่ยืนยันว่าจะเป็นไปโดยราบรื่น ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะไม่มีความล้มเหลวใด ๆเกิดขึ้น การปรับเปลี่ยนตนเองในขณะที่ความสำเร็จของหนทางดั่งเดิมยังปรากฏชัดเจน แล้วไปเสี่ยงกับความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น วันใดก็ตามที่เราพบกับความล้มเหลวบนเส้นทางของการปรับเปลี่ยนนั้น เราจะพบว่ากระแสสื่อสังคมมักชื่นชมความสำเร็จ ในขณะที่เหยียบย่ำความล้มเหลว

 อีกเหตุหนึ่งที่เรามักรีรอในการปรับเปลี่ยนก็คือกระแสสังคมที่ชื่นชมความสำเร็จ ถ้าอยู่อย่างเดิมต่อไป วันนี้เราก็ยังได้รับกระแสชื่นชมจากสังคมต่อไป วันนี้ยังไม่เห็นความล้มเหลวของเส้นทางเดิม

ดังนั้นหลายคนจึงพอใจที่จะอยู่กับความสำเร็จของปัจจุบันกาล และกระแสชื่นชมจากสังคมที่มีอยู่ในวันนี้ แทนที่จะเตรียมการทุกสิ่งให้พร้อมรับอนาคตที่คืบคลานเข้ามา  เป็นที่แน่นอนว่าการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ต้องใช้เวลาพอสมควร กว่าจะเห็นมรรคผล หลายคนจึงทนไม่ได้กับการเดินหน้าเปลี่ยนแปลงต่อไปอย่างต่อเนื่อง 

การปรับเปลี่ยนขนานใหญ่เป็นการวิ่งมาราธอน ไม่ใช้วิ่งร้อยเมตร ต้องใช้ความอึดมากพอสมควร ถ้าไม่เข้มแข็งเพียงพอ ก็จะเดินหน้าได้นิดหน่อยแล้วก็หมดเรี่ยวแรง ไหนจะเสียงค้านด้วยความเป็นห่วงจากครอบครัว เพื่อนฝูงญาติมิตร  ไหนจะการเงินการทองที่ไม่มั่นคงเท่าเดิม ไหนจะเสี่ยงเหยียบย่ำจากกระแสสังคม

การปรับเปลี่ยนขนานใหญ่จะเกิดขึ้นได้ ต้องการคนที่แข็งแรงในทุกด้าน ซึ่งหาได้ไม่ง่ายนัก เปลี่ยนแปลงขนานใหญ่จึงไม่ค่อยเกิดขึ้น จนกว่าทุกอย่างจะสุกงอมกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจากความล้มเหลวอย่างสิ้นสภาพของการงานแบบดั่งเดิม

 ถ้ายังคิดว่าการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่เป็นสิ่งที่ตั้งใจจะต้องกระทำให้ได้ ลองถามตนเองด้วยสามคำถามนี้ คำตอบจะเป็นภูมิต้านทางต่ออุปสรรคสารพัดที่ทำให้เรารีรอที่จะเปลี่ยน

คำถามแรก คือ ความสำเร็จที่เรามีอย่างมากมายในวันนี้จะยังคงอยู่ต่อไปในห้าปีสิบปีข้างหน้าได้จริงหรือไม่ 

คำถามที่สอง คือ ที่กำลังทำอยู่ทุกวันนี้สร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเราได้มากน้อยแค่ไหน ทำไปเพราะดีใจที่ได้ทำ หรือทำไปด้วยความจำใจ

คำถามที่สาม คือ ทางเลือกใหม่แห่งความสำเร็จที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจนั้น เรามองเห็นเส้นทางตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงเส้นชัยชัดเจนแล้วหรือไม่

 ตอบได้เมื่อไร เมื่อนั้นการเปลี่ยนแปลงตนเองได้เริ่มขึ้นแล้ว.