เวียดนามกับปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ

เวียดนามกับปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจเวียดนามมีชื่อเสียงโด่งดังในโลก และในบ้านเราจนมีคนสงสัยว่ามาแรงแซงโค้งได้อย่างไรและไล่เรามาอยู่ตรงไหนแล้ว

                         ผู้เขียนเดินทางไปเวียดนามหลายครั้งในรอบกว่า 30 ปีที่ผ่านมาและได้สังเกตติดตามมายาวนานพอควร  ขอนำสิ่งที่ไปค้นคว้ามาประกอบความเห็นส่วนตัวเล่าเรื่องเศรษฐกิจเวียดนามในวันนี้

                        เวียดนามรวมเป็นประเทศได้สำเร็จใน .. 1976 หลังจากต่อสู้กับสหรัฐอเมริกา20 ปี และกับฝรั่งเศสอดีตเจ้าอาณานิคมก่อนหน้านั้น 50 ปี  รวมเป็นเวลา 70 ปี ที่เวียดนามมีแต่การสู้รบหาความสงบไม่ได้     คนเวียดนามตายไปเพื่ออิสรภาพเป็นล้าน  คน    พรรคคอมมูนิสต์เวียดนามผู้ชนะตั้งหลักอยู่ 10 ปีอย่างงง  กับสันติภาพหลังสงครามจนในปี 1986 เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญคือนโยบายของพรรคคอมมูนิสต์เวียดนามที่มีชื่อว่า “โดย-เหม่ย”  

                        นโยบายนี้คือการยกเครื่องประเทศโดยการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมภายใต้ระบบที่เรียกว่า socialist-oriented economy (ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีภายใต้แนวคิดสังคมนิยมเลียนแบบจีนที่เริ่มประสบผลสำเร็จ   ระบบนี้ประชาชนมีเสรีภาพทางเศรษฐกิจแต่ไม่มีเสรีภาพทางการเมือง (มีพรรคการเมืองพรรคเดียวที่ครองอำนาจ)

                        รัฐบาลดำเนินตามนโยบายนี้อย่างมุ่งมั่นและต่อเนื่องจนภายในเวลา 30 ปี ได้เปลี่ยนแปลงจากประเทศที่ยากจนแห่งหนึ่งของโลกเป็นประเทศดาวรุ่งที่รายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าตัวระหว่าง 1985-2017 (คนยากจนหายไปจากระดับ 72% ของประชากรเหลือเพียง 6% )กลายเป็นประเทศระดับรายได้ปานกลาง   นอกจากนี้รายได้ต่อหัว (ปรับค่าครองชีพแล้วแซงหน้าฟิลิปปินส์ไปแล้ว และรายได้ต่อหัว (ทั้งปรับและไม่ปรับค่าครองชีพแล้วอยู่ประมาณครึ่งหนึ่งของไทย

                        มีอยู่ไม่ต่ำกว่า 4 ปัจจัย ที่เป็นสาเหตุของความสำเร็จของเวียดนาม คือ   (1) เปิดรับการค้าเสรีกับต่างประเทศอย่างเต็มที่    (2) ปฏิรูปภายในประเทศควบคู่กับการค้าเสรีด้วยการแก้ไขกฎเกณฑ์ต่าง  ที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า  ลดต้นทุนของการประกอบธุรกิจ   (3) ลงทุนอย่างมากในทรัพยากรมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐาน     (4)  ต้นทุนค่าแรงต่ำและลักษณะเฉพาะของความเป็นเวียตนาม

ปัจจัยแรก    ทำให้เวียดนามเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกอย่างแนบแน่นจนปัจจุบันมูลค่าการส่งออกเท่ากับ GDP โดยมีสหรัฐอเมริกาและยุโรปเป็นคู่ค้าสำคัญ     เวียดนามเป็นสมาชิกการค้าเสรีแทบนับไม่ถ้วน   1995 ร่วมอยู่ในข้อตกลง ASEAN Free Trade    /   ในปี2000 จับคู่การค้าเสรีกับสหรัฐอเมริกา    /    2007 สมาชิก WTO    /   2018 สมาชิก CPTPP (เดิมชื่อ TPP  มีสมาชิก 12 ประเทศ แต่สหรัฐถอนตัว จึงรวมตัวกันใหม่เปลี่ยนชื่อเป็น CPTPP  เริ่มมีผลตั้งแต่ 2018   ไทยมิได้เป็นสมาชิก)    /   2020  สมาชิก RCEP ซึ่งมี 15 ประเทศของ Asia-Pacific โดยจีนเป็นผู้นำ (ไม่มีสหรัฐอเมริกา)   ไทยเป็นสมาชิกด้วย และในปี 2020 ลงนามการค้าเสรีกับสหราชอาณาจักร

                        การร่วมเป็นสมาชิกการค้าเสรี ทำให้เกิดการลดภาษีขาเข้าและภาษีขาออกทีละน้อย     เมื่อเวียดนามมีแรงงานอยู่มาก (ในประเทศ 95 ล้านคน มีอายุต่ำกว่า 35 ปีอยู่ครึ่งหนึ่ง)  และค่าแรงต่ำ  มีการลงทุนจากต่างประเทศมหาศาล   การค้าต่างประเทศทำให้เพิ่มดีมานด์ของสินค้าและขยายโอกาสในการสร้างรายได้เข้าประเทศ

                        ปัจจัยข้อสอง    ปฏิรูปภายในประเทศเพื่อให้สอดรับกับการเปิดประเทศเพื่อค้าเสรีใน      ข้อ (1)  โดยทำให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานของกลไกตลาด     การผ่อนปรนกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคทำให้การประกอบธุรกิจมีความสะดวก และสามารถดำเนินการได้รวดเร็วจนต้นทุนในการประกอบการต่ำ

                        ในปี 1986  มีการออกกฎหมายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและปรับแก้ไขให้สิทธิประโยชน์มากมายแก่นักลงทุนจากต่างประเทศพร้อมกับลดความล่าช้าจากกฎระเบียบอย่างสำคัญ

                        ปัจจัยสาม    ลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างมากเพื่อสร้างสมรรถนะในการแข่งขัน   ตลอดจนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะอย่างยิ่งอินเตอร์เน็ตเพื่อสนับสนุนการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ

                        ทั้งสามปัจจัยเกื้อหนุนกันภายใต้การดำเนินงานของพรรคคอมมูนิสต์เวียดนามที่มีอำนาจเด็ดขาดในการดำเนินนโยบายอย่างมุ่งมั่นและต่อเนื่อง ผ่าน “การสั่งได้” และการเลือกผู้นำพรรค (ผู้นำประเทศที่มีความสามารถ    ทั้งหมดนี้ได้ดำเนินตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาโดยใช้บทเรียนจากจีน

                        ปัจจัยที่สี่   คนเวียดนามทนทุกข์ทรมานเพราะสงครามมายาวนาน    เมื่อสงครามสงบสามารถรวมประเทศได้สำเร็จและมีอิสรภาพ    ความกดดันภายในและความขยันบากบั่นมานะต่อสู้อันเป็นธรรมชาติของคนเวียดนามก็ระเบิดออกมา  กอปกับโครงสร้างประชากรเอื้อให้มีคนในวัยแรงงานจำนวนมหาศาลในราคาถูกให้แก่อุตสาหกรรมจากต่างประเทศ    เศรษฐกิจเติบโตในอัตรา 5-6% ต่อปีต่อเนื่องกันเป็นเวลานับสิบปีทำให้รายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ(จากเพียง 230 เหรียญสหรัฐในปี 1985 เพิ่มเป็น 3,498 เหรียญในปัจจุบัน)

                        ผู้นำคนสำคัญของเวียดนามในปัจจุบันคือ  เหงียน ฟู ตร็อง   วัย 77 ปี   อยู่ในอำนาจครบ10 ปีในปีนี้ และเมื่อปลายเดือนมกราคม 2021 ในการประชุมพรรคสมัยที่ 13 ก็ได้ลงมติให้เขาเป็นต่ออีก 5 ปี   ตร็องเป็นผู้นำประเภทนักวิชาการโดยแท้   เขาเรียนจบสองปริญญาเอกในด้านปรัชญาและกฎหมาย และจบปริญญาโทด้านการต่างประเทศจากมหาวิทยาลัยของเวียดนาม     นอกจากนี้ยังได้ศึกษาด้านประวัติศาสตร์จาก Academy of Science จากสหภาพโซเวียดอีกด้วย

                         ตร็องได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากพรรค    ถึงแม้เขาจะเป็นนักวิชาการ มาร์กซิสต์แต่เขาก็สามารถนำประเทศตามเส้นทางที่อยู่ห่างความเชื่อส่วนตัวของเขาอยู่มากจนกลายเป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกว่าเป็น Economic Miracle (ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ)

                        ปัจจุบันเวียดนามได้อานิสงส์อย่างมากจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน    โรงงานใหญ่ต่างประเทศหลายแห่งในจีนได้ย้ายไปเวียดนาม จึงมีสินค้าที่ส่งออกมาจากการลงทุนของบริษัทใหญ่ทั่วโลก    นอกจากนี้ความสามารถในการควบคุมโควิด-19 ได้อย่าง             น่าทึ่ง (ป่วย 2,448 คน   ตาย 35 คน   ถึงแม้ในขณะนี้จะระบาดระลอกใหม่ก็ตามช่วยสร้างภาพพจน์ที่ดีแก่นักลงทุนในการมีความสามารถฟื้นคืนกลับสู่สภาพเดิมหลังประสบความยากลำบาก (resiliency)   ในขณะที่หลายประเทศเศรษฐกิจหดตัวในปี 2020 แต่เวียดนามกลับขยายตัว 2.9% เนื่องจากการส่งออกไปสหรัฐอเมริกาและยุโรป

                        ตัวอย่างของการผลิตในเวียดนามได้แก่ชิ้นส่วนโทรศัพท์ Samsung     สินค้ากีฬาของ Nike    ผลิตภัณฑ์ของ LG / Olympus และ Pioneer  บริษัทเสื้อผ้ารายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา และยุโรป (ในอาเซียนส่งออกเสื้อผ้ามูลค่าสูงสุด และส่งออกอิเล็กทรอนิกส์มูลค่าสูงสุดรองจากสิงคโปร์)  อุปกรณ์คอมพิวเตอร์    กาแฟ (พันธุ์ robusta โดยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่สุดของโลก)    ไอพ็อดของ Apple    ชิ้นส่วนของ Apple และ phone chip ของ Qualcomm (บริษัทใหญ่สุดของโลก)   ฯลฯ  

                        คนเวียดนามมีคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้นมากโดยแลกเปลี่ยนกับการสูญเสียเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพทางการเมือง   ปัญหาสิทธิมนุษยชน  ตลอดจนปัญหาสิ่งแวดล้อม   ปัญหาคอรัปชั่น  ฯลฯ  ไม่มีใครตอบได้ว่าคุ้มหรือไม่   คนเวียดนามเท่านั้นที่สมควรเป็นผู้ตอบ.