บิล เกตส์กับภาวะต้มกบ

บิล เกตส์กับภาวะต้มกบ

ผู้ติดตามข่าวรอบด้านคงสังเกตแล้วว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาสื่อต่าง ๆ รายงานการสัมภาษณ์บิล เกตส์บ่อยมาก

             ปัจจัยที่จูงใจให้สื่อสัมภาษณ์เขาบ่อยขึ้นเมื่อต้นปีกลายได้แก่การระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้ชาวโลกป่วยและตายคล้ายใบไม้ร่วง  ย้อนไปเมื่อปี 2558 บิล เกตส์ออกมาเตือนชาวโลกแบบมั่นใจเต็มร้อยว่า อีกไม่นานการระบาดของเชื้อโรคร้ายในแนวของโควิด-19จะเกิดขึ้น  เขามั่นใจในคำเตือนของเขาเพราะเมื่อถึงตอนนั้นเขาได้ทุ่มทรัพย์สินจำนวนมหาศาล เวลาและความสามารถให้แก่การค้นหาทางกำจัดและป้องกันเชื้อโรคร้ายมาไม่ต่ำกว่า 15 ปี  บิล เกตส์มีบทบาทสำคัญในการวิจัยและพัฒนาที่ทำให้ชาวโลกสามารถผลิตวัคซีนหลายชนิดออกมาเพื่อสู้กับโควิด-19ได้ภายในเวลา 1 ปี  การผลิตวัคซีนไม่เคยทำได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้มาก่อน  มาถึงตอนต้นปีนี้ ปัจจัยที่ทำให้บิล เกตส์พูดกับสื่อมากขึ้นได้แก่หนังสือของเขาเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงความหายนะจากภาวะโลกร้อนชื่อ How to Avoid a Climate Disaster ซึ่งพิมพ์ออกมาเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์

            บิล เกตส์มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับด้านนั้นไว้ 2 เรื่องคือ The Road Ahead และ Business @ the Speed of Though(ผมได้นำมาทำบทคัดย่อภาษาไทยไว้ทั้ง 2 เรื่องซึ่งอาจดาวน์โหลดได้ฟรีที่เว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา www.bannareader.com)  เขายอมรับว่าเขาขาดความเชี่ยวชาญในด้านภูมิอากาศและเพิ่งมาให้ความใส่ใจในประเด็นเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของมันเมื่อไม่นานมานี้  อย่างไรก็ดี เขาเห็นว่าเรื่องนี้มีความสำคัญมากเนื่องจากมันเกี่ยวกับความอยู่รอดของมนุษยชาติ เขาจึงทุ่มเทเวลาเพื่อศึกษามันอย่างจริงจังและสรุปออกมาเป็นหนังสือดังกล่าวซึ่งยาว 256 หน้า 

บิล เกตส์ให้สื่อสัมภาษณ์บ่อยขึ้นในช่วงนี้อาจมีผู้ตีความว่าเขาต้องการขายหนังสือ  แต่ผมมองว่าเขาต้องการเน้นย้ำเรื่องความสำคัญของมาตรการป้องกันมิให้โลกร้อนขึ้นมากว่า ทั้งนี้เพราะแม้หนังสือจะขายได้นับล้านเล่มและเขาได้ค่าลิขสิทธิ์เป็นหลักล้านดอลลาร์ แต่รายได้นั้นจะไม่เท่าแม้แต่เงินก้นกระเป๋าที่เขามีอยู่ 

เนื่องจากบิล เกตส์ เพิ่งหันมาใส่ใจในด้านความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศเมื่อไม่นานมานี้และยังมีความเชี่ยวชาญไม่ครอบคลุมทุกแง่มุมของประเด็น ผู้วิจารณ์หนังสือของเขาบางคนจึงมีข้อทักท้วงอยู่บ้างในบางกรณี  แต่ผมมองว่านั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ไม่ว่าจะเป็นด้านเนื้อหาของหนังสือ หรือการขาดความเชี่ยวชาญในด้านนี้แบบครอบคลุมของบิล เกตส์  ตรงข้าม ผมมองว่า การให้ความสำคัญของการป้องกันมิให้โลกร้อนขึ้นไปอีกของเขาเป็นที่น่ายินดีมากเนื่องจากเราคงคาดเดาได้ว่า เขาจะทุ่มเทเวลา ความสามารถและทรัพย์สินกองมหาศาลให้แก่งานนี้ในแนวที่เขาทุ่มเทให้แก่ด้านสุขภาพ การพัฒนาและการศึกษาของชาวโลกมาเป็นเวลากว่า 20 ปี  (สำหรับผู้สนใจว่าเขาทำอะไรบ้างอย่างคร่าว ๆ อาจเข้าไปดูเว็บไซต์ของมูลนิธิของเขาที่ www.gatesfoundation.org)

ในการให้สัมภาษณ์ดังกล่าว บิล เกตส์มักโยงเรื่องภาวะโลกร้อนกับการระบาดของโควิด-19เข้าด้วยกันโดยสรุปว่า ปัญหาอันเกิดจากโควิด-19นั้นจิ๊บจ๊อยเมื่อเทียบกับปัญหาที่ภาวะโลกร้อนนำมาให้ซึ่งจะเป็นในระยะยาว ทั้งนี้เพราะเมื่อชาวโลกเข้าถึงวัคซีนได้อย่างทั่วถึงภายในเวลาอีกไม่นาน การระบาดนั้นก็จะยุติ  ส่วนภาวะโลกร้อนเมื่อถึงตอนนี้ ยังไม่มีแน้วโน้มที่ชี้ชัดว่าชาวโลกจะป้องกันมิให้มันร้ายแรงเพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอนไม่ว่าจะมองจากด้านเทคโนโลยีที่ยังไม่เพียงพอสำหรับที่จะนำไปสู่เป้าหมาย ด้านการใช้ทรัพยากรเพื่อการบริโภคของชาวโลกที่ยังเพิ่มขึ้นแบบไม่หยุดยั้งรวมทั้งส่วนที่ไม่มีความจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต หรือด้านการเมืองในประเทศต่าง ๆ ซึ่งนับวันจะยิ่งถูกครอบงำโดยมหาเศรษฐีที่ไร้จิตสาธารณะ 

เรื่องราวดังกล่าวอาจมองได้ว่า โลกตกอยู่ในภาวะ "ต้มกบ" จากภาวะโลกร้อนซึ่งมีลักษณะของการมองในแง่ร้าย  แต่เราอาจทำให้มันเปลี่ยนเป็นเรื่องดีได้หากเราต่างจำกัดการบริโภคให้อยู่ในขอบเขตของความจำเป็นสำหรับดำเนินชีวิตและมหาเศรษฐีต่างมีจิตสาธารณะในแนวของบิล เกตส์.