สร้าง resiliency สู้โควิด

สร้าง resiliency สู้โควิด

ในวิกฤตโควิดมีอยู่คำหนึ่งที่ได้ยินกันเป็นประจำ นั่นคือ resiliency ซึ่งหมายถึงความสามารถที่จะฟื้นกลับคืนอย่างรวดเร็วจากสภาพยากลำบาก

                         โลกรับทราบทีละน้อยว่าโควิด-19 จะอยู่กับเราไปอีกแสนนานเหมือนไข้หวัดใหญ่   อีกทั้งจำนวนผู้ติดใหม่จะไม่เป็นศูนย์ทุกวันเช่นเดียวกับประเทศทั้งหลายในโลก  เพียงแต่จะประทุขึ้นที่ใดและรีบดับทันที และก็จะประทุอยู่ตลอดเวลาถึงแม้จะฉีดวัคซีนที่เชื่อว่ามีประสิทธิภาพแล้วก็ตาม    ขณะนี้เป็นการแข่งขันระหว่างการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 กับการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิดอย่างรวดเร็วจนวัคซีนที่มีอาจใช้ไม่ได้ผลก็อาจเป็นได้   

                        ความจริงเช่นนี้จะทำให้คนจำนวนมากรู้สึกหดหู่ และหวาดหวั่นอยู่เสมอว่าจะพลาดท่าเสียทีสักวัน  คนทั้งโลกรู้สึกเช่นนี้ทั้งนั้น     เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายการใส่หน้ากาก  ระมัดระวังตัวไม่อยู่ในรัศมีกระเด็นของน้ำลาย     ไม่อยู่ในที่แออัด และมือไม้ต้องระวัง    ต้องล้างมือล้างเจลอยู่เสมอ และหากไม่จำเป็นก็จงอยู่บ้าน   การที่ต้องทนอยู่ในสภาวการณ์นี้อีกนานจะก่อให้เกิดปัญหาแก่จิตใจของหลายคนอย่างแน่นอน     อย่างไรก็ตามยังโชคดีที่มีงานวิจัยด้านจิตวิทยาที่ช่วยชี้ทางให้

                      ในวิกฤตโควิดมีอยู่คำหนึ่งที่ได้ยินกันเป็นประจำ  นั่นก็คือ resiliency ซึ่งหมายถึงความสามารถที่จะฟื้นกลับคืนอย่างรวดเร็วจากสภาพยากลำบากซึ่งสื่อความหมายของความแข็งแกร่ง (Resilience เป็นคำนามเช่นเดียวกับ Resiliency  ทั้งสองมีความหมายเหมือนกัน)  ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเสนอ 7 หลักการในการสร้าง resiliency ท่ามกลางพายุโควิดเพื่อกลับสู่สภาพเดิมแห่งความสุข

                        หลักการที่หนึ่ง    บ่มเพาะความเชื่อในความสามารถของตนเองในการสู้รบ  เวลาต้องสู้รบกับสถานการณ์เช่นปัจจุบัน การรู้สึกท้อใจ    เหนื่อยล้าและเริ่มคิดว่าเราจะอยู่รอดได้อย่างไรเป็นเรื่องปกติ    สิ่งที่ควรกระทำคือบอกตัวเองทุกวันว่าการหวาดกลัวและการหวาดหวั่นนั้นเป็นเรื่องธรรมดา          จงหายใจลึก  และรับเอาความรู้สึกเหล่านี้มาเป็นเพื่อน  ไม่ต้องพยายามทำให้ความรู้สึกเหล่านี้หายไป     ยอมรับความเจ็บปวดอย่างนุ่มนวลและเมื่อยอมรับความรู้สึกนี้แล้วก็ถึงจุดที่ต้องคิดสะระตะว่าในอดีตเราก็เคยประสบความลำบากเช่นนี้มาก่อน แต่ก็รอดมาได้เพราะเรามีคุณลักษณะบางอย่าง   เช่น    ความบากบั่นมานะ     ความสามารถในการปรับตัว การมีอารมณ์ขัน   ความกล้าหาญ     ฯลฯ    พยายามนึกถึงสิ่งเหล่านี้ไว้เสมอ   ประเด็นสำคัญคือเราต้องพยายามสร้างความเชื่อมั่นในความสามารถที่เรามีอยู่ข้างใน

                         หลักการที่สอง   จงมีความสัมพันธ์เชื่อมต่อกับผู้ที่สามารถสนับสนุนและให้กำลังใจเราอยู่เสมอ อย่าปิดกั้นตัวเอง   ตัดตนเองออกไปจากบรรดาเพื่อนที่มี    เราสามารถสื่อสารถึงกันได้ผ่านสื่อสมัยใหม่โดยไม่ต้องพบหน้ากัน   อย่าลืมว่ามนุษย์เป็น “สัตว์สังคม”  ดังนั้นจึงต้องการเป็นสมาชิกของเผ่าเพราะทำให้รู้สึกปลอดภัยและมีคนสนับสนุน “คนเผ่าเดียวกัน”   จะช่วยเหลือกัน     ไม่เอาเรื่องการเมืองหรือเรื่องขัดแย้งส่วนตัวมาปิดกั้นการเป็นสมาชิกเผ่าเดียวกันที่มีวัตถุประสงค์ในการอยู่ร่วมกัน     ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือคนในบ้านเดียวกันก็ตาม   ควรแชร์ความเป็นตัวตนร่วมกันมากกว่าแบ่งแยก

                        หลักการที่สาม   พูดคุยกันเรื่องที่ต้องต่อสู้กับสภาวการณ์ ไม่ควรเก็บกดเรื่องความรู้สึกที่มีต่อสถานการณ์ที่เผชิญอยู่     ควรระบายออกอย่างสม่ำเสมอ   ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุย    จดบันทึกไดอารี่   ส่งจดหมายหรือข้อความถึงคนชอบพอกันที่อยู่ห่างไกล  ถ้ามีเพื่อนอยู่ใกล้  ก็อาจจับคู่ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่นผลัดกันพูดคนละ 10 นาทีเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในใจในขณะนั้นโดยไม่สอดแทรกเพื่อแชร์ความคิดและความรู้สึกร่วมกัน

                         หลักการที่สี่  ช่วยเหลือคนอื่นในยามลำบาก  การได้ช่วยเหลือคนอื่นเพื่อลดความเจ็บปวดและเป็นประโยชน์แก่เขาอย่างแท้จริงจะช่วยลดความรู้สึกว่าเราไม่สามารถกำหนดสิ่งใดเกี่ยวกับชีวิตตนเองได้เลยลงไปได้มาก  มันช่วยทำให้เรารู้สึกว่ามีความสามารถในการควบคุมและบังคับให้บางสิ่งในโลกเป็นไปดังประสงค์ของเรา    อีกทั้งป้องกันเราจากความรู้สึกที่ว่าเราไม่สามารถจัดการชีวิตของเราได้เลย

                         ในการนี้ควรหยุดคิดและตรึกตรองเกี่ยวกับการช่วยเหลือคนอื่นและดื่มด่ำกับความรู้สึกดี  ที่เกิดขึ้น    ระวังอย่าตกอยู่ในความรู้สึกว่าต้องแบกโลกไว้บนบ่า    จงทำเท่าที่สามารถมีกำลังจะทำได้     ประเด็นสำคัญคือการมีความรู้สึกที่ดี  เกี่ยวกับความสามารถของตนเองในการทำสิ่งที่งดงาม

                        หลักการที่ห้า   จุดประกายอารมณ์ที่เป็นบวก  เราต้องหายามาช่วยในยามที่ลำบากเช่นนี้   ดังนั้นจงพยายามมองหาอารมณ์ขันในเรื่องต่าง  ที่เกิดรอบตัวและ     บ่มเพาะอารมณ์ที่เป็นบวกอยู่เสมอ     นึกถึงเรื่องที่สนุกสนานมีความสุข   อารมณ์ของความซาบซึ้ง   ความกตัญญู   ความรัก  ความใกล้ชิดกับธรรมชาติ     ความสุขจากการกินอาหารที่ชอบ     ฯลฯ

                        หลักการที่หก  บ่มเพาะทัศนคติของการอยู่รอด  หลีกเลี่ยงความรู้สึกสิ้นหวังเพราะทำให้รู้สึกว่าเราเป็นเหยื่อ    ถ้าเรามุ่งคิดการเอาตัวรอดได้จากสถานการณ์ครั้งนี้    เราก็จะรู้สึกมีชีวิตชีวา  ปลุกความเข้มแข็งภายในของเรา และนึกถึงว่าเราจะภูมิใจในตัวเราเองเพียงใดหลังจากที่พายุโควิดได้ผ่านไปแล้ว

                         เรื่องราวของการต่อสู้จนมีชีวิตรอดมาได้จากสงคราม    จากความอดยาก    ฯลฯ ที่เรารับทราบจากการอ่าน  การได้ยินได้ฟัง หรือจากปากคนที่เรานับถือจะเป็นพลังใจให้เราได้อย่างสำคัญ  ประเด็นสำคัญคือต้องยอมรับความจริงว่าเรากำลังต่อสู้กับความยากลำบาก และเป็นสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของตัวเราแต่ก็ไม่ทั้งหมด   เรามีคุณลักษณะและความสามารถที่จะต่อกรกับมันได้เหมือนกับคนอื่น  ที่ได้เคยทำมาแล้วและอยู่รอดมาได้อย่างงดงาม

                        หลักการที่เจ็ด    มองหาความหมาย จากเหตุการณ์ .  ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดหรือมีระบบความเชื่ออย่างไร  เราสามารถหาความหมายได้จากสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นได้เสมอ    เช่น “พระเจ้าต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของเรา”     “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ป่วยการคิดมาก ต้องต่อสู้กันไป”     “เป็นโอกาสให้ได้เรียนรู้และต่อสู้ชีวิตที่ดีที่สุด”    การมองหาความหมายจากสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นจะช่วยให้เรามีกำลังใจต่อสู้  และมองเห็นสิ่งที่เป็นบวกจากสิ่งที่ต้องประสบ

                        โควิด-19 ได้ระบาดและมีผลกระทบด้านลบเกิดขึ้นแล้ว    เราไม่สามารถหมุนเวลากลับไปได้    สื่งที่ควรทำที่สุดคือการต่อสู้กับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว    เราจะต่อสู้ได้ดีแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับวิธีคิดและการคิดของเรา   หลักการทั้ง 7 ข้อ ช่วยนำทางให้เรามีพลังต่อสู้และเอาชนะมันได้ในที่สุดอย่างมีบาดแผลน้อยที่สุด   

                        ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตของเราก็ตาม     เวลาและทุกสิ่งดำเนินต่อไปตามเส้นทางของมันเสมออย่างไม่สามารถหยุดยื้อมันได้   “life goes on”  เสมอครับ.