จากกรณีมัมมี่มีลิ้นทองคำ

จากกรณีมัมมี่มีลิ้นทองคำ

เมื่อต้นสัปดาห์นี้มีรายงานเรื่องการค้นพบหลุมฝังศพอายุนับพันปีในอียิปต์ สิ่งที่น่าสังเกตเป็นพิเศษคือ มีแผ่นทองคำที่ทำเป็นรูปลิ้นอยู่ในปากด้วย

          เมื่อต้นสัปดาห์นี้มีรายงานเรื่องการค้นพบหลุมฝังศพอายุนับพันปีในอียิปต์  ศพที่พบกว่าหนึ่งโหลได้รับการพันห่อไว้ตามกระบวนการทำ “มัมมี่” ของสังคมอียิปต์โบราณ  แต่ศพที่พบครั้งล่าสุดนี้มิได้อยู่ในสภาพค่อนข้างดีดังศพจำนวนหนึ่งซึ่งพบมาก่อนแล้ว  รายงานบ่งว่าสิ่งที่น่าสังเกตเป็นพิเศษคือ มีแผ่นทองคำที่ทำเป็นรูปลิ้นอยู่ในปากของศพรุ่นหลังนี้ด้วย  ผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานเป็นเบื้องต้นว่า วิญญาณของศพดังกล่าวได้ลิ้นทองติดตัวไปสำหรับใช้ในการเจรจากับยมบาล เพราะเชื่อว่าการมีลิ้นทองจะช่วยต่อรองให้ผู้ตายไปอยู่ในสถานที่ซึ่งดีกว่าในกรณีที่ไม่มีลิ้นทอง

               สังคมอียิปต์โบราณใช้ทองคำทำอะไรต่อมิอะไรมากมายเนื่องจากเป็นโลหะสีเหลืองอร่ามและไม่เป็นสนิม แต่ก็อ่อนและเหนียวพอที่จะดัดให้เป็นสิ่งต่าง ๆ และตีเป็นแผ่นบาง ๆ ได้ง่าย  คงเป็นที่รับรู้โดยทั่วกันแล้วว่า ทองคำในหลุมฝังศพของชาวอียิปต์โบราณที่โด่งดังที่สุดได้แก่หน้ากากของฟาโรห์ หรือกษัตริย์ชื่อ ทัตทังคามันซึ่งครองราชย์เมื่อเกือบ 3 พันปีมาแล้ว  เป็นที่ทราบกันดีว่า อียิปต์มิใช่สังคมเดียวที่นิยมสะสมทองคำเพื่อใช้ในกิจการต่าง ๆ โดยเฉพาะการทำเครื่องประดับ  ความนิยมนั้นสืบเนื่องมาจนถึงวันนี้ 

ข้อมูลบ่งว่า ในปัจจุบันมีทองคำที่ถูกนำออกมาจากธรรมชาติแล้วราว 2 แสนตันซึ่ง 47% อยู่ในรูปของเครื่องประดับ ตามด้วยการเก็บสะสมไว้ในรูปของทองแท่งทั้งในมือของเอกชน (22%) และในคลังของรัฐ (17%)  เพียง 14% เท่านั้นที่ถูกใช้ในรูปที่มีประโยชน์โดยตรงจริง ๆ เช่น ในการทำเครื่องมือสื่อสารอีเล็กทรอนิกส์  ด้วยเหตุนี้ ทองที่เราต่างคิดว่ามีค่าสูงมากนั้นเป็นเพียงการสมมติที่เราต่างยอมรับกันเท่านั้น  หากทองคำจำนวน 86% หายไป สังคมมนุษย์น่าจะอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อนนัก   

ย้อนไปในสมัยหนึ่ง ก่อนรัฐจะพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้จะต้องมีทองคำสำรองไว้เป็นการประกันค่าของธนบัตร  เนื่องจากธนบัตรเป็นสิ่งสมมติที่สังคมมนุษย์ตกลงกันผลิตขึ้นมาเพื่อสะดวกแก่การค้าขาย การกำหนดให้มีทองคำสำรองการพิมพ์ธนบัตรจึงเป็นการตั้งระบบสมมติซ้อนสมมติขึ้นมา  เมื่อเราพบว่าระบบสมมติซ้อนสมมติมีปัญหาต่อการค้าขายมากเนื่องจากทองคำมีจำกัดทำให้การพิมพ์ธนบัตรถูกจำกัดด้วยซึ่งมีผลร้ายต่อการค้าขาย  เราจึงยกเลิกระบบสมมติซ้อนสมมตินั้น  ในปัจจุบัน ระบบสมมติค่าเงินและการพิมพ์ธนบัตรกับระบบสมมติค่าของทองคำจึงแยกกัน  เนื่องจากมนุษย์เรายังเชื่อในค่าสมมติของทั้งสองระบบ การแลกเปลี่ยนกันระหว่างธนบัตรกับทองคำจึงยังดำเนินต่อไป

ย้อนไปในสมัยอียิปต์โบราณเมื่อราว 3 พันปีก่อน ผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าประชากรโลกมีรวมกันราว 100 ล้านคนซึ่งไม่มีเครื่องจักรกลใช้  การค้นหาทองคำจึงทำได้ในขอบเขตจำกัด  ในสมัยนี้ โลกมีประชากรเกิน 7.5 พันล้านคนพร้อมกับมีเครื่องจักรกลเล็กใหญ่สำหรับใช้ขุดค้นหาทองคำ  กระบวนการนี้ทำให้ระบบนิเวศถูกทำลายอย่างกว้างขวางดังเป็นที่รับรู้กันแล้ว

ชาวอียิปต์โบราณมีภูมิปัญญาสูงมากวัดจากการสร้างอารยธรรมและสิ่งก่อสร้างจำพวกพีระมิด  พวกเขาเชื่อว่ามัมมี่จะทำให้ศพอยู่ต่อไปในสภาพดีสำหรับเป็นที่อยู่ของวิญญาณได้ตลอด หรือการที่มัมมี่มีลิ้นทองจะช่วยต่อรองกับยมบาลได้  แต่ความเชื่อนั้นไม่น่าจะบรรลุเป้าหมายเนื่องจากมัมมี่ส่วนใหญ่อยู่ได้ไม่นานก็เน่าผุ  สิ่งที่แน่นอนคือ การสร้างสถานที่เก็บศพขนาดใหญ่จำพวกพีระมิดไว้มากมายใช้ทรัพยากรมหาศาลและนำมาซึ่งการทำลายระบบนิเวศ  เมื่อระบบนิเวศถูกทำลาย อารยธรรมย่อมล่มสลายไปด้วย 

วัดจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ชาวโลกในปัจจุบันมีภูมิปัญญาสูงกว่าชาวอียิปต์โบราณ  ความเชื่อมั่นในภูมิปัญญาของตนทำให้ชาวโลกยุคปัจจุบันสร้างระบบสมมติขึ้นมากมายรวมทั้งระบบการพิมพ์ธนบัตรเพื่อใช้ในการค้าขายและระบบการตีค่าทองคำ  การค้าขายเอื้อให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วมานาน  แต่การขยายตัวนั้นนำมาซึ่งการทำลายระบบนิเวศ  การขุดทองคำเพื่อนำมาเก็บไว้โดยมิได้ใช้ทำประโยชน์ก็เช่นเดียวกัน  ฉะนั้น ชาวโลกปัจจุบันกำลังเดินไปตามทางไม่ต่างกับของชาวอียิปต์โบราณ.