มรดกความแตกแยกที่ทรัมป์ทิ้งไว้ให้อเมริกา

มรดกความแตกแยกที่ทรัมป์ทิ้งไว้ให้อเมริกา

แม้ว่าการเปลี่ยนถ่ายอำนาจของอเมริกาปีนี้ เป็นการเปลี่ยนมือที่วุ่นวายที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ  เพราะผู้แพ้ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ

          สุดท้ายแล้ว Joe Biden ก็ได้บริหารประเทศตั้งแต่ 20 ม.ค.64 สมความชอบธรรม กระนั้นก็ตาม ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นคราวนี้ก็จะมีผลกลายเป็นความแตกแยกที่สุดของประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกนับตั้งแต่ยุคสงครามเย็นเป็นต้นมา  และในเมื่อ America ไม่สามารถ Great Again แล้ว ความพลิกผันก็อาจทำให้เกิดการดิ่งจมลงไปถึงขั้นเกรงกันว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการล่มสลายในศตวรรษนี้ของมหาอำนาจแห่งศตวรรษที่แล้ว

               เรื่องมันไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยถ้าผลการเลือกตั้งเป็นไปตามโพลล์ที่ Donald Trump แพ้ไบเดนขาดลอยไม่ต่ำกว่า 9% ซึ่งการตามห่างขนาดนี้ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีการพลิกล็อกมาก่อน แต่ผลกลับผิดคาด พลังเงียบของทรัมป์ออกมาช่วยให้คะแนนในหลายมลรัฐใหญ่มีความสูสี ในหลายห้วงเวลาดูเหมือนทรัมป์จะเอาชนะได้ด้วย และแล้วในเมื่อไม่ชนะ ทรัมป์ก็ออกอาการทั้งโวยวาย ทั้งบีบทางกฎหมาย ทั้งปลุกระดมคนไม่ให้รับรองผล  ในระยะสั้นมันคือความวุ่นวายถึงขั้นบุกรัฐสภาอย่างที่เห็น ในระยะยาวคือความแตกแยกร้าวลึกในหมู่อเมริกันชนที่แผ่ออกมาสู่สาธารณะ และอาจจะไม่หยุดกันง่าย ๆ

               ว่าด้วยบริบทของความแตกในสหรัฐ ฯ นั้น มีมานานแล้วดังที่ทุกท่านทราบกันดี คนต่างผิวต่างศาสนาต่างเชื้อชาติร้อยพ่อพันกลุ่มมารวมตัวกันในชาติที่เป็นเอกราชมาได้แค่สองร้อยกว่าปี ก็ย่อมมีความเห็นแก่กลุ่มชนเอง (Ethnocentrism) ไม่ใช่น้อย  แต่ท่ามกลางความเห็นแก่ตนนั้นจริยธรรมแบบอเมริกันก็ได้ถูกปูขึ้นมา ยกประโยชน์ให้กับชาวผิวขาวที่พยายามนำกรอบคุณค่ายึดถือ (Value) จากยุโรปโดยเฉพาะที่กำลังเบ่งบานในยุคโรแมนติกศตวรรษที่ 19 จนถึง 20 เช่น ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติศาสนาสีผิว คนร่ำรวยต้องช่วยคนจน คนแข็งแรงต้องปกป้องคนอ่อนแอ และอื่น ๆ มาใช้ทั้งในนิตินัยและพฤตินัย  ยังอาจยกประโยชน์ให้อีกหลายกลุ่ม เช่น สื่อที่ยิวและแองโกลแซกซอนมีบทบาทสูงในการผลักดันภาพลักษณ์มาตรฐานอเมริกันตอกย้ำให้คนอเมริกันนั่นแหล่ะเห็น  ทำให้อเมริกันมีความรักชาติ ควบคู่ไปกับการมานะพยายามส่งออกแนวทางนี้ไปยังชาติอื่นๆ ทั่วโลกด้วย

               ปัญหาความแตกแยกที่ถูกซุกไว้ใต้พรมที่ถูกปกคลุมด้วยมาตรฐานคุณค่ายึดถือทางจริยธรรมนั้น พร้อมจะระเบิดออกมาเมื่อเศรษฐกิจแย่ลง  อเมริกาในช่วงไม่กี่ปีมานี้เป็นเช่นนั้น นับตั้งแต่เกิดวิกฤต Hamburger Crisis ความมั่งคั่งในหมู่คนรวยถูกดึงออกไปเยอะมาก ความยากจนในหมู่คนชั้นล่างก็จนหนักขึ้น อคติปฐมภูมิที่ไม่สนเหตุสนผล อย่างเช่น การถือพวกถือศาสนาเชื้อชาติสีผิวไว้ก่อน ก็มาแรงขึ้นอีก การจุติของทรัมป์ทางการเมืองที่แสวงประโยชน์จากปัญหาเชิงซ้อนเหล่านี้ ยิ่งทำให้ปัญหาบานปลาย

               ด้วยมารยาทและประวัติชีวิตของทรัมป์ ถ้าเป็นเมื่อก่อน คนแบบนี้จะไม่มีวันเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ ฯ ได้เลย  แต่เมื่อไม่นานมานี้เอง เขากลับกลายเป็นความหวังของคนครึ่งหนึ่งของชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนผิวขาวหรือคนอนุรักษ์นิยมที่เคยทำตัวเรียบร้อย ทำตามมาตรฐานอเมริกันปกติแต่กลับรู้สึกว่าสิทธิของตนถูกรอนไปทุกทีโดยคนต่างชาติหรือคนต่างกลุ่ม  พวกนี้จึงสนับสนุนนโยบายของทรัมป์โดยหวังว่าแนวความคิด America First จะทำให้ชาติกลับมาแข็งแกร่งละพวกตนลืมตาอ้าปากได้ โดยมิพักต้องคิดว่าสิ่งที่ทรัมป์ทำนั้นจะถูกหรือผิดกับประเทศอื่น ยิ่งเห็นทรัมป์ทำอะไรแหวกแนวแล้วฝ่ายอื่นต้องอ้อนข้อให้ พวกเขายิ่งคิดว่านี่ล่ะถูกต้อง 

แนวทางแบบชวนหาเรื่องของทรัมป์ย่อมทำให้เขามีศัตรูมากไปด้วย  กระแสความเกลียดชังถูกปลุกเร้าผ่านวาทะและลีลาของเขา  นโยบายของทรัมป์ไม่ได้ใจของอเมริกันชน "ทุกคน“ มิเช่นนั้นกรณีประท้วงการตายของ George Floyd จะไม่บานปลายหลายเดือน  ส่วนหนึ่งก็เพราะคนผิวสีอื่นๆ คิดว่าแนวทางของทรัมป์จะยิ่งเป็นโทษต่อตน ยิ่งคนผิวสีหรือคนลิเบอรัลประท้วงเรียกร้องมากขึ้นเท่าไหร่ ฝ่ายที่เชียร์ทรัมป์ยิ่งมองคนกลุ่มนี้เป็นศัตรู  พรรคเดโมแครตจึงได้คะแนนจากคนเหล่านี้ไปเป็นกอบเป็นกำ ถ้ามองแบบยุติธรรม ไบเดนก็มีส่วนในการทำให้ความแตกร้าวขยายกว้าง เขาเลือกมุ่งเป้าเรียกคะแนนเสียงยังคนผิวสีถึงขั้นยกตำแหน่งรองให้ ขณะที่สื่อลิเบอรัลทั้งหลายก็วาดภาพทรัมป์เหมือนตัวตลกอันเลวร้าย  แล้วจะหวังว่าเมื่อการชิงชัยจบลง ทุกฝ่ายจะต้องร่วมกันชื่นชมผู้ชนะกระนั้นหรือ

ไบเดนจะพยายามปกครองประเทศโดยอุ้มคนทั้งประเทศที่ไม่ชอบหน้ากันให้ไปด้วยกันได้โดยใช้กลไกและค่านิยมแบบเดิม  อเมริกันที่เป็นอเมริกัน แข็งแกร่งกับศัตรูประชาธิปไตย ยึดมั่นในความเท่าเทียม แต่ก็คงต้องหยวนบ้างกับข้อเรียกร้องของคนผิวสีที่วันนี้ไม่ใช่ชนกลุ่มน้อยแล้ว  ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามที่เชื่อมั่นแนวทางทรัมป์นั้นก็อาจรอจังหวะระเบิดอารมณ์ออกมา  ปัญหาภายในประเทศที่รุมเร้าย่อมบั่นทอนท่วงท่าในการเมืองระหว่างประเทศ  แล้วอย่างนี้สหรัฐ ฯ ที่แตกแยกจะสู้กับจีนไหวเหรอ  อันนี้เป็นคำถามที่อยู่ในใจของพันธมิตรทุกประเทศ.