เกษตรกรยุค 5G ปรับตัวเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคยุคนิวนอร์มอล
เกษตรกรยุคปัจจุบัน ต้องเร่งปรับตัว และให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีหรือช่องทางออนไลน์
นับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2563 การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและการประกอบอาชีพของคนแทบทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น ผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจ พนักงานที่เป็นมนุษย์เงินเดือน พ่อค้าแม่ค้าหรือคนที่ประกอบอาชีพรับจ้างเพื่อหาเช้ากินค่ำ ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มเกษตรกร อย่างชาวไร่ชาวนาหรือชาวประมง ซึ่งแม้ว่าโรคโควิด-19 จะไม่ได้กระทบโดยตรงต่อกระบวนการผลิตหรือการเพาะปลูก แต่พวกเขากลับต้องพบกับความท้าทายไม่น้อย ทั้งจากปริมาณความต้องการสินค้าเกษตรที่ลดลงเนื่องจากผู้บริโภคขาดกำลังซื้อ ไปจนถึงการหยุดชะงักของระบบการขนส่งสินค้าเกษตร โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติ
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 พืชผลทางการเกษตรรวมกว่า 1 ล้านตัน ไม่สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศไทยได้ และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจการเกษตร (จีดีพีภาคเกษตร) ใน 2563 อาจหดตัวลงถึง 3.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีมูลค่าประมาณ 6.49 แสนล้านบาท
การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อพัฒนาและเพิ่มประสิทธิทางการเกษตร ปรับปรุงคุณภาพของผลผลิต ตลอดจนแก้ไขปัญหาหรือลดข้อจำกัดต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรเป็นหนึ่งในความพยายามที่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้ให้ความสำคัญ อันที่จริงแล้ว เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในภาคการเกษตรมาสักระยะหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะนวัตกรรมด้าน AgriTech ซึ่งหมายถึงการเกษตรสมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน ตั้งแต่ระดับต้นน้ำอย่างการปรับปรุงและคัดเลือกสายพันธุ์ การพัฒนากรรมวิธีเพาะปลูกและเพิ่มผลผลิตให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น อย่างการใช้เครื่องจักรกลและระบบการเพาะปลูกอัตโนมัติ เช่น การใช้โดรนสำหรับหว่านเมล็ดพืช รดน้ำ และพ่นปุ๋ย หรือการใช้ระบบวิเคราะห์โรคพืชและศัตรูพืช ซึ่งมีการใช้อย่างแพร่หลายในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และเยอรมนี
แต่อีกหนึ่งขั้นตอนที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วจะสามารถกระจายสินค้าไปให้ถึงมือผู้บริโภคหรือคนปลายน้ำได้อย่างไรให้สะดวกและรวดเร็ว โดยเฉพาะสินค้าเกษตรอย่างผักสด ผลไม้ หรืออาหารทะเลที่มีอายุและเสี่ยงต่อการเน่าเสีย ซึ่งนับว่าเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่หลายภาคส่วนต้องเผชิญหน้ากับข้อจำกัดในการขนส่งจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ดังนั้น เกษตรกรในยุคปัจจุบันจึงต้องเร่งปรับตัวและหันมาให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีหรือช่องทางออนไลน์ เพื่อนำผลผลิตไปสู่มือผู้บริโภค โดยแพลตฟอร์มดิจิทัลหรือแอปพลิเคชันได้กลายมาเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญที่ช่วยเพิ่มช่องทางและขยายการเข้าถึงฐานผู้ซื้อจำนวนมากโดยไม่ต้องผ่านคนกลาง
ปัจจุบัน แอพพลิเคชันที่ให้บริการจัดส่งสินค้าแบบออนดีมานด์หรือบริการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางห้างร้านต่างๆ ซึ่งรวมถึง แกร็บ (Grab) เองได้เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมให้เกษตรกรไทยสามารถปรับตัวและรับมือกับยุคนิวนอร์มอล เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เข้าถึงพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยในช่วงกลางปี 2563 ที่ผ่านมา แกร็บ ประเทศไทย ได้จับมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ริเริ่มโครงการ “ตลาดเกษตรกร” (Farmers’ Market) เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายและจัดส่งผลไม้จากหลากหลายท้องถิ่นผ่านบริการ “แกร็บมาร์ท” (GrabMart)
นอกจากนี้ ล่าสุด แกร็บ ยังได้ขยายความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ในการเปิดตัวโครงการ “ตลาดสดคนไทย” (Thai Fresh Market) ซึ่งรวบรวมผลผลิตทางการเกษตร เช่น ผัก ผลไม้ อาหารทะเล เนื้อสัตว์ ข้าว เบเกอรี่ และดอกไม้ จากหลายร้อยร้านค้าใน 7 จังหวัดทั่วประเทศ มาไว้บนแอพพลิเคชัน Grab และทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าจากเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยได้สะดวกยิ่งขึ้น
นอกจากประเทศไทยแล้ว แกร็บ ยังได้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมเกษตรกรในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านแพลตฟอร์มหรือแอพพลิเคชัน Grab เพื่อประโยชน์ในด้านการตลาดและการกระจายสินค้าด้วย อาทิ ความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรของประเทศอินโดนีเซียในการเปิดให้ผู้บริโภคสามารถใช้บริการผู้ช่วยส่วนตัว (GrabAssistant) ในการไปซื้อผลผลิตทางการเกษตรที่วางขายในร้านค้าของรัฐบาล ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกและลดต้นทุนให้เกษตรกรในด้านการกระจายสินค้า ในประเทศฟิลิปปินส์ แกร็บเปิดให้ประชาชนในเขตกรุงมะนิลาและปริมณฑล ที่ซื้อผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ บนเว็บไซต์ eKadiwa ของกรมการเกษตร สามารถรับสินค้าผ่านบริการรับ-ส่งแบบออนดีมานด์ (GrabExpress) ได้ หรือในประเทศมาเลเซีย บริการซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ (GrabSupermarket) ก็เปิดให้เกษตรนำผลผลิตมาวางขายได้ ซึ่งพบว่าในช่วงนำร่อง สินค้าประเภทผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์ประเภทสัตว์ปีกคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของยอดขายทั้งหมดเลยทีเดียว
นี่เป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่า เทคโนโลยีหรือแพลตฟอร์มดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยปลดล็อคให้กับเกษตรกรเพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ และยกระดับวิถีเกษตรกรรมได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่พัฒนาสายพันธุ์ กรรมวิธีการเพาะปลูก ไปจนถึงการขยายโอกาสในการเพิ่มยอดขายผ่านการกระจายสินค้าไปในช่องทางที่เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในยุค 5G เกษตรกรที่จะประสบความสำเร็จในยุคนิวนอร์มอล อาจไม่ใช่แค่ผู้ผลิตที่มีความชำนาญในด้านการเพาะปลูกอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและ Transform ตัวเองเพื่อให้สามารถบริหารจัดการตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการส่งมอบสินค้าและบริการได้เองทุกขั้นตอนอย่างเต็มตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในอนาคต