ประโยชน์ที่พลอยได้ของการจดทะเบียนพาณิชย์

ประโยชน์ที่พลอยได้ของการจดทะเบียนพาณิชย์

กฎหมายทะเบียนพาณิชย์ที่ใช้บังคับในปัจจุบัน คือ พ.ร.บ.ทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ.2499 ตราออกใช้บังคับแทน พ.ร.บ. พ.ศ.2479

หลักการสำคัญของ พ.ร.บ.ทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ.2499 คือ เพิ่มพาณิชยกิจที่จะจดทะเบียนอีกหลายพาณิชยกิจ เน้นเจตนารมณ์เพื่อประโยชน์ทางสถิติและทราบหลักฐานของผู้ประกอบพาณิชยกิจ เพิ่มรายการจดทะเบียนเงินทุนของผู้ประกอบพาณิชยกิจเพื่อทราบฐานะการค้าของพ่อค้า

            ในช่วงที่รัฐบาลมีนโยบายพัฒนากฎหมายใน ประมาณปี2546 -2549   เพื่อพิจารณา ปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย ยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัย มีข้อเสนอให้พิจารณายกเลิกกฎหมายทะเบียนพาณิชย์ด้วย แต่อนุกรรมการจากกระทรวงพาณิชย์ เห็นควรให้คงไว้เพราะน่าจะยังมีประโยชน์ ซึ่งเมื่อมีการปฏิรูประบบราชการในช่วง ปี 2545  มีการปรับปรุงส่วนราชการในกระทรวงพาณิชย์ เช่น กรมทะเบียนการค้าเปลี่ยนเป็นกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีภารกิจใหม่คืองานส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังไม่มีกฎหมายในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ จึงต้องอาศัยกฎหมายทะเบียนพาณิชย์ ออกประกาศกำหนดให้ผู้ประกอบพาณิชยกิจ ที่เกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และที่เกี่ยวข้อง ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ เพื่อให้ทราบตัวตนของผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน

                สาระสำคัญของพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ.2499

                    ผู้ประกอบพาณิชย์กิจตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ต้องจดทะเบียนพาณิชย์  โดย สำนักงานใหญ่ของผู้ประกอบพาณิชยกิจตั้งอยู่ท้องที่ใดให้จดทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนพาณิชย์ในท้องที่นั้น ถ้าสำนักงานใหญ่อยู่ในต่างประเทศ สำนักงานสาขาในประเทศไทยตั้งอยู่ท้องที่ใด ก็ให้จดทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนพาณิชย์ ณ ท้องที่นั้น

                  การประกอบพาณิชยกิจที่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ในปัจจุบัน เป็นไปตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องให้ผู้ประกอบพาณิชย์ต้องจดทะเบียนพาณิชย์(ฉบับที่11)พ.ศ.2553คือ

               ผู้ประกอบพาณิชยกิจตามรายการที่กำหนดในข้อ4 ทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักรต้องจดทะเบียนพาณิชย์ ยกเว้นผู้ประกอบพาณิชยกิจที่เป็น ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด  บริษัท จำกัด และบริษัทมหาชนจำกัด 

                ผู้ประกอบพาณิชยกิจ ตามรายการที่กำหนดในข้อ5 ซึ่งเป็นพาณิชยกิจที่ควบคุมเป็นการเฉพาะ ไม่ว่าเป็นบุคคลธรรมดาหรือ ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด  บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด ทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักรต้องจดทะเบียนพาณิชย์

                สถานที่จดทะเบียนพาณิชย์

              ช่วงที่รัฐบาลมีนโยบายกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเมื่อประมาณปี 2550 ภารกิจการจดทะเบียนพาณิชย์ ก็เป็นภารกิจที่จะต้องโอนให้เป็นอำนาจขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย

             ในระยะเริ่มแรกทยอยโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความพร้อมก่อน จนในปี 2553 องค์กรปกครองท้องถิ่นทุกแห่งมีความพร้อมสถานที่จดทะเบียนพาณิชย์จึงเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในข้อ 6 ของประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับดังกล่าวข้างต้น คือให้ผู้ประกอบพาณิชยกิจที่ต้องจดทะเบียนตามข้อ 4 และข้อ5 ยื่นคำขอจดทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนพาณิชย์กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบลที่สำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในท้องที่ หรือองค์การบริหารส่วนจังหวัดเฉพาะในท้องที่นอกเขตเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล สำหรับนิติบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทย แต่มาตั้งสาขาประกอบพาณิชยกิจในประเทศไทย สำนักงานสาขาใหญ่ตั้งอยู่ในเขตท้องที่สำนักงานทะเบียนใดก็ให้จดทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนพาณิชย์ท้องที่นั้น

               การจดทะเบียนพาณิชย์ เจตนารมณ์ ตามกฎหมายเพื่อทราบสถิติ ตัวตนและสถานะของกิจการของการประกอบพาณิชยกิจ  อันเป็นประโยชน์ของทางราชการ  อย่างไรก็ตามการจดทะเบียนพาณิชย์มีประโยชน์ที่พลอยได้ ตามที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลฎีกา บางคดีทีมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทะเบียนพาณิชย์ เช่น

               1.ใช้ชื่อร้านจดทะเบียนพาณิชย์ เจ้าของร้านเป็นเจ้าของชื่อนั้นโดยชอบ

       คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4/2512   โจทก์เป็นเจ้าของร้านชื่อ แซลวิน อินเด็นติ้งเอเย่นซี และได้จดทะเบียนพาณิชย์เพื่อใช้ในการประกอบการพาณิชย์แล้ว  โจทก์จึงเป็นเจ้าของชื่อนั้นโดยชอบ  เมื่อบริษัทต่างประเทศส่งเงินมาชำระหนี้แก่ร้านโจทก์  โดยธนาคารหนึ่งออกเช็คสั่งจ่ายเงิน  โดยระบุชื่อร้านโจทก์ดังกล่าวเป็นผู้รับเงิน โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คฉบับนั้นโดยชอบ    เมื่อโจทก์ได้รับความเสียหายจากธนาคารจำเลยซึ่งเรียกเก็บเงินตามเช็คไปเข้าบัญชีของผู้ที่มิใช่ผู้ทรงเช็คแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องธนาคารจำเลยได้โดยชอบ

      2 สำนักงานที่จดทะเบียนพาณิชย์ถือเป็นสาขาและภูมิลำเนาของนิติบุคคลต่างประเทศ

     คำพิพากษาศาลฎีกาที่3234/2522 บริษัท ก. และบริษัท อ.เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายเดนมาร์กจดทะเบียนประกอบการพาณิชย์ต่อสำนักงานทะเบียนพาณิชย์  ใช้ชื่อว่า "สายการเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพฯ " มีสำนักงานในกรุงเทพฯ ถือได้ว่าสายการเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพ ฯ เป็นสำนักงานสาขาของบริษัท ก. และบริษัท อ. เป็นภูมิลำเนาตาม ป.พ.พ.ม.71  ฟ้อง บริษัท ก และบริษัท อ ได้ที่ศาลแพ่ง

                3   ฟ้อง สาขาของนิติบุคคลต่างประเทศ ที่จดทะเบียนพาณิชย์ได้ แม้ไม่ใช่นิติบุคคล

               คำพิพากษาศาลฎีกาที่   1282/2524   โจทก์ใส่ชื่อจำเลยในตอนต้นของคำฟ้องว่า "สายเดินเรือเมอสก์สาขากรุงเทพฯ"  ตามชื่อที่จดทะเบียนพาณิชย์ไว้  แต่ในคำบรรยายฟ้องโจทก์ก็ได้กล่าวให้ทราบชัดแล้วว่า   จำเลยหมายถึงบริษัท ด. กับบริษัท อ. ซึ่งเป็นนิติบุคคลอยู่ในประเทศเดนมาร์ก  และมีสำนักงานสาขาสำหรับดำเนินธุรกิจซึ่งบริษัททั้งสองทำร่วมกันในประเทศไทยโดยใช้ชื่อว่า   "สายเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพฯ"  เป็นจำเลย ดังนี้แม้ "สายเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพฯ" จะมิได้เป็นนิติบุคคล   ก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยไม่อาจถูกฟ้องเป็นจำเลยได้   

            ซึ่งต่อมามีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2883/2532 วินิจฉัยออกมาแนวเดียวกัน

            4 แสดงถึงวัตถุประสงค์ของบริษัทได้

              คำพิพากษาศาลฎีกาที่2334/2521 บริษัทจำกัดมีวัตถุที่ประสงค์ตามหลักฐานใบทะเบียนพาณิชย์ว่าเป็นนายหน้าตัวแทนค้าต่าง ซื้อขายสินค้า ดังนี้ การรับจำนองค้ำประกันหนี้ค่าซื้อสินค้าอยู่ในวัตถุประสงค์ของบริษัท

            5 พิจารณาประกอบว่า เป็นพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ตาม ป.พ.พ 1332 หรือไม่

            คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2491/ 2561   จำเลยที่ 1 ปะกอบกิจการรับจ้างทำความสะอาดและซ่อมแซม กระเป๋าถือ มีเครื่องประดับจำพวกเพชรและทองรูปพรรณวางแสดงอยู่ในร้านก็เป็นของโจทก์ที่จำเลยที่ 1 ขอยืมโจทก์มาแสดงในร้าน ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนพาณิชย์ประกอบพาณิชยกิจจำหน่ายเครื่องประดับจำพวกเพชร นาก เงิน และทองรูปพรรณ ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ค้าของเก่าประเภทเพชรทอง ไม่ปรากฏว่ามีการซื้อขายเครื่องประดับเพชรทองที่ร้าน บ. ของจำเลยที่ 1 เลย  ถือไม่ได้ว่าเป็นพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นตามความหมายของป.พ.พ.มาตรา  1332 เมื่อจำเลยที่3 และจำเลยที่4ได้ซื้อทรัพย์สินของโจทก์ จากจำเลยที่1 ที่มิใช่พ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ทั้งการซื้อขายไม่สุจริตย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองจากบทกฎหมายดังกล่าวจำเลยที่ 3 และที่ 4 จำต้องคืนทรัพย์ที่ซื้อมานั้นแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าของแท้จริง