สำรวจกองทุนรวมต้นปี 2564

สำรวจกองทุนรวมต้นปี 2564

สัปดาห์แรกของการลงทุนในปีนี้ กองทุนรวมส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนได้ดี โดยเฉพาะการลงทุนในกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้น

ถึงแม้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกและในไทยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดไว้ว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกปีนี้น่าจะได้แรงหนุนจากความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐที่อาจจะมีขนาดใหญ่กว่าที่คาด หลังพรรคเดโมแครตของว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเด็นสามารถคุมเสียงข้างมากได้ทั้ง 2 สภา

หลายท่านอาจจะมองว่าผ่านมาเพียง 1 สัปดาห์อาจเป็นการมองที่สั้นไป ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกต้องแล้วครับ เพราะการลงทุนควรมองถึงผลตอบแทนในระยะยาว และผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนในอนาคต แต่เนื่องจากในปีนี้มีปัจจัยพิเศษเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง จึงน่าที่จะนำมาวิเคราะห์ถึงแนวโน้มในช่วงต่อๆไป ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใช้ในการประกอบการตัดสินใจลงทุนครับ

ในสัปดาห์แรกของปีนี้ กองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้นให้ผลตอบแทนเป็นบวกเกือบทั้งหมด ตามการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลก นำโดยตลาดหุ้นจีน ไทย เวียดนาม และอินเดีย ตามด้วยตลาดหุ้นญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (emerging markets) ได้แรงหนุนจากคาดการณ์ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐจะส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่มากขึ้น  ในขณะที่ตลาดกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วยังคงปรับตัวขึ้นได้ต่อ

ในส่วนของกองทุนรวมตราสารหนี้ การปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (ราคาปรับตัวลดลง) เนื่องจากตลาดคาดว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอาจต้องใช้เงินจำนวนมาก รัฐบาลสหรัฐอาจจำเป็นที่จะต้องออกพันธบัตรจำนวนมากเพื่อนำเงินมาใช้สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงมีแรงกดดันต่อราคาพันธบัตร  ส่งผลให้กองทุนรวมตราสารหนี้ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเป็นลบ

การปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐส่งผลลบต่อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และราคาทองคำ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การลงทุนในพันธบัตรซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่ามีความน่าสนใจมากขึ้น

การปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้นอาจส่งผลให้นักลงทุนหลายท่านไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นเร็วเกินไปหรือไม่ ก็คงต้องย้อนกลับไปที่หลักการลงทุนว่า ควรมองถึงผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาวครับ  โดยการลงทุนในกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้นในปีนี้ยังคงจะได้แรงหนุนจาก 2 ปัจจัยหลักต่อไป ซึ่งก็คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยได้แรงหนุนจากหลายปัจจัย อาทิ เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวต่อเนื่องจากปีก่อน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจโดยเพิ่มการบริโภคภายในประเทศ เงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การลงทุนสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เป็นต้น

กองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงมีแนวโน้มที่ดีในระยะยาวถึงแม้ราคาปรับตัวขึ้นมามากในปีที่แล้ว เนื่องจากปัจจุบันยังคงเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นของการใช้เทคโนโลยี 5 จี ซึ่งยังมีโอกาสในการพัฒนาอีกมาก โดยในสัปดาห์แรกของปีนี้ กองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นมาเพียงเล็กน้อย

สำหรับกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นเช่นกัน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

สำหรับตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์แรกปรับตัวขึ้นราว 6% นำโดยหุ้นขนาดใหญ่บางตัว ส่งผลให้ P/E ของ SET Index ล่าสุดจากเวปไซต์ settrade อยู่ที่กว่า 30 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่อยู่ประมาณ 15 เท่า ส่งผลให้นักลงทุนจำนวนมากไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นไทยแพงไปหรือไม่  อย่างไรก็ดี การเทียบ P/E ของ SET Index ในปัจจุบันกับค่าในเฉลี่ยอดีตอาจส่งผลให้การวิเคราะห์ผิดพลาดได้ เนื่องจากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา มีหุ้นขนาดใหญ่จำนวนมากที่เข้ามาใน SET Index โดยที่หุ้นบางตัวมีค่า P/E สูงกว่า 100 เท่า และหุ้นเข้าใหม่บางตัวมีค่า P/E สูง เนื่องจากมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่สูง  ทั้งนี้ หากดูค่า P/E ของหุ้นที่เคยเป็นหุ้นหลักใน SET Index ในอดีต จะพบว่าค่า P/E ยังคงอยู่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต  ดังนั้น หากบริษัทต่างๆมีแนวโน้มที่ผลประกอบการจะดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ค่า P/E ของ SET Index ก็จะลดลง  โดยที่ค่า P/E ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะไม่กลับไปเท่าค่าเฉลี่ยในอดีต เนื่องจากโครงสร้างของ SET Index เปลี่ยนไปจากอดีตมาก

โดยสรุป การลงทุนในกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้นมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนได้ดีในปีนี้ ในขณะที่การลงทุนในกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ อาจจะให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีนัก  อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลการลงทุนและลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ท่านยอมรับได้ครับ