วิธีรักเมตตาตัวเองสู้โควิด 19

วิธีรักเมตตาตัวเองสู้โควิด 19

ทุกเมื่อยามไม่เฉพาะในยามโรคระบาด   บทแผ่เมตตาให้ตนเองเพื่อจะได้รับได้มีพลังคลื่นความปรารถนาดีให้ตนเองเป็นสุข  มีอุปการะยิ่ง

บทแผ่เมตตาดังที่ขึ้นต้นว่า  "อะหัง   สุขิโต  โหมิ... แปลว่า "ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข; " (ถ้าเป็นหญิง  ให้เปลี่ยนคำขีดเส้นใต้เป็น สุขิตา) คำแปลวรรคต่อมาจนจบบทคือ " ปราศจากความทุกข์;  ปราศจากเวร; ปราศจากอุปสรรคอันตรายและความเบียดเบียนทั้งปวง;   ปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ;  มีความสุขกาย สุขใจ  รักษาตนให้รอดพ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ "

          แผ่เมตตาบทนี้อาจไม่คุ้นหูเท่าไรนักในหมู่พุทธศาสนิกชนบ้านเรา  ส่วนใหญ่รวมทั้งผู้เขียนคุ้นชินบทแผ่เมตตาอีกบทหนึ่งมากกว่า   ที่ขึ้นต้นด้วยภาษาบาลีว่า  "สัพเพ  สัตตา  อะเวรา โหนตุ..." แปลเป็นความภาษาไทยว่า  " สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์, เกิด แก่ เจ็บ ตาย, ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด  อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย, "  ซึ่งเนื้อความภาษาไทยของบทแผ่เมตตานี้จนจบมีว่า " อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย  อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย,  จงมีความสุขกายสุขใจ  รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัย, ทั้งสิ้น  เทอญ."

          แทบไม่ต้องฟังซ้ำ  ก็รู้สึกทันทีว่าเนื้อความสองบทคล้ายกันมากซึ่งที่จริงก็เป็นเนื้อความเดียวกันนั่นเอง  ข้อแตกต่างอยู่ตรงที่ว่าบทแรกแผ่เมตตาให้ตนเองเป็นหลัก    บทหลังแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายซึ่งก็รวมตัวเราเองและสัตว์อื่น ๆด้วย  คำบาลีบทนี้จึงมีว่า "สัพเพ สัตตา   อะเวรา  โหนตุ " ลงท้ายว่า " สุขี อัตตานัง  ปะริหะรันตุ ."

 ส่วนในแผ่เมตตาบทแรกที่มุ่งแผ่เมตตาให้ตนเองนั้น มีคำว่า "โหมิ " บอกถึงว่า "ให้บังเกิดแก่ข้าพเจ้า " ในตอนลงท้ายคำบาลีก็จึงเป็น " สุขี อัตตานัง  ปะริหะรามิ. " (ลงท้าย "มิ" )

          แผ่เมตตาบทแรกนำมากล่าวถึงเป็นพิเศษขณะนี้ก็เพราะเป็นโอกาสพิเศษมีโรคระบาดที่ต้องสู้เพื่อพ้นภัย   ซึ่งโรคระบาดทั้งหลายรวมทั้งไวรัส โควิด  19   แพทย์ย้ำนักหนาให้ทุกคนรักษาตัวเองให้ปลอดจากภัยนี้ก่อนเป็นอันดับแรกด้วยวิธีต่าง ๆที่เราได้ยินได้ฟังข้อมูลมารวมทั้งได้รับแจกอุปกรณ์ เช่น หน้ากาก  อัลกอฮอล์ล้างมือ ฯ  เลี่ยงออกนอกบ้านหากไม่จำเป็นสุดๆ  มีบริการต่าง ๆ เช่นสอบถามทางโทรศัพท์  สถานกักตัว  ตลอดจนโอกาสเข้าถึงบริการสาธารณสุขหากถึงขั้นต้องรักษา  โดยให้งดเด็ดขาดไปบางสถานที่ซึ่งมีการแพร่เชื้อแล้วในภาษาทางโลก(การแพทย์)  และในภาษาทางธรรมว่า สถานอโคจร ทั้งหลาย เช่น แหล่งมั่วสุม บ่อน  สถานบันเทิง ต่าง ๆ 

ฉะนั้นไม่ว่าจะระบาดรอบแรกหรือรอบสองหรืออีกกี่รอบก็ตาม   การดูแลรักษาตนเองให้พ้นภัยจากโรคระบาดสำคัญเป็นอันดับแรก   

หมายความว่าตัวเราเองเมื่อปลอดจากภัยนี้แล้ว  จึงจะสามารถให้ความปลอดภัยนี้แก่คนอื่นได้    เป็นตรรกะง่ายๆทั้งในทางธรรมและในทางโลก(การแพทย์) ที่ว่าเราจะให้คนอื่นได้ก็ในสิ่งที่เรามี  ถ้าเราไม่มี  เราจะให้สิ่งที่เราไม่มีแก่คนอื่นได้อย่างไร

เช่นเดียวกับแผ่เมตตามอบความรักความปรารถนาดีและกุศลใด ๆให้ผู้อื่น   เราต้องสามารถสร้างเมตตาสร้างความรักความปรารถนาดีและกุศลนั้น ๆให้แก่ตัวเราให้มีในตัวเราได้เสียก่อน

อีกทั้งการเบียดเบียนอื่นใดทางกาย  ทางวาจา   ทางใจ ที่จะกระทำต่อตัวเองและผู้อื่นเนื่องจากโรคระบาด  ก็ควรพยายามเลี่ยง     

ที่จริงก็เพียงไม่นานมานี้นี่เองที่ผู้เขียนได้เข้าใจบทแผ่เมตตาให้ตนเอง  รู้สึกซาบซึ้งคล้อยตาม  เมื่อได้ศึกษาปฏิบัติมากขึ้นตามกำลังตามโอกาส  ยิ่งเห็นความมีอุปการะ   ซึ่งที่จริงธรรมข้อนี้มิได้ลึกลับหรือยากที่จะเข้าถึงด้วยตนเอง  ตรงกันข้ามเสียอีก  คำว่า เมตตา เรารู้จักกันดีอยู่แล้วในภาษาไทย   ในทางธรรม  เราก็รู้ว่า เมตตา อยู่ใน พรหมวิหาร  ๔    พอท่องติดปากว่าได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา  ซึ่งถึงจะรู้คำแปลความหมายไม่แม่นยำนัก ก็ไม่เป็นไร   เราได้ยินคำว่า เมตตา เป็นปรกติวิสัย

อย่างไรก็ดี  ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกมืดแปดด้านเมื่อได้ยินคำถามในวงเสวนาที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯหลายปีมาแล้ว  ว่าทำไมคำสอนศาสนาพุทธจึงอ้างถึงและใช้คำว่า "พรหม" ตลอดจนกล่าวถึงพราหมณ์มากมายหลายแห่งทั้งที่พระพุทธเจ้าประกาศคำสอนที่ย้อนแย้งกับคำสอนของพราหมณ์ผู้นับถือพระพรหม   คำว่า"วิหาร"ก็เป็นคำที่ศาสนาพราหมณ์ใช้   แล้วทำไมหลักธรรมสำคัญยิ่งของพุทธศาสนา คือ เมตตา  จึงมาจัดอยู่ใน "พรหมวิหาร" อันแปลว่า ที่อยู่ของพรหม   

ผู้ตั้งคำถามนี้เป็นนักวิชาการพุทธศาสนา(โดยเฉพาะพุทธเถรวาท) มีชื่อเสียงระดับโลกที่มาในงานเสวนาครั้งนั้นด้วย คือ  Professor  Richard Gombrich   ท่านบอกแต่ต้นเลยว่ามิได้นับถือศาสนาพุทธ  ได้ศึกษาพระพุทธเจ้าในฐานะนักคิด แบบเดียวกับที่เพื่อนร่วมรุ่นและนักวิชาการคนอื่น ๆที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด   เลือกศึกษา นักคิดอย่าง อริสโตเติล  พลาโต   ฯลฯ   

คำตอบของ ศาสตราจารย์ กอมบริช  ยาวเกินจะเล่าในที่นี้  ผู้สนใจอาจประมวลได้จากงานเขียนของท่านที่มีตีพิมพ์มากมาย   ประเด็นสำคัญวันนั้นอยู่ตรงที่ท่านยืนยันว่าหากมีใครถามว่าพุทธศาสนามีสิ่งใดเป็นคุณูปการให้ชาวโลก คำตอบของท่านคือ เมตตาธรรม

  แน่นอนว่านับแต่นั้น ผู้เขียนจึงทั้งสงสัยและสนใจติดตามศึกษาปฏิบัติเมตตาธรรม  ซึ่งมีขั้นตอนจากแผ่เมตตาให้ตนเองแล้วจึงขยายแผ่ถึงผู้อื่น  ในสถานการณ์ภัยโควิด 19 อย่างนี้   เมตตาธรรมจะช่วยค้ำจุนโลกได้