5 เรื่องสำคัญที่จะอยู่กับธุรกิจไปอีก 5 ปี

5 เรื่องสำคัญที่จะอยู่กับธุรกิจไปอีก 5 ปี

ปี 2020 ที่กำลังผ่านไปถือว่าตื่นเต้นมากแล้ว พอเจอข่าวการระบาดระลอกสองรับต้นปี 2021 บอกได้เลยว่าชีวิตยังมีอะไรให้ได้ตื่นเต้นไปอีกหลายเดือน

โดยเฉพาะในวงการธุรกิจที่ผลพวงจากการระบาดของโควิด-19 ได้บีบให้คนทั้งโลกวิ่งหน้าตั้งไปสู่โลก 4.0 องค์กรต่าง ๆ ถูกบังคับให้ทำดิจิทัลทรานฟอร์มเมชั่นไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะส่งผลต่อวงการธุรกิจไปอีกไม่น้อยกว่า 5 ปี

          ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกเห็นตรงกันว่า  การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากโควิดจะเป็นรูปตัว K นั่นคือ มีคนกลุ่มหนึ่งที่รายได้เพิ่มขึ้นเพราะปรับตัวได้ก่อน  มีความพร้อมมากกว่า  ทิศทางรายได้ของพวกเขาจึงพุ่งขึ้นไป  คนอีกกลุ่มหนึ่งรายได้จะดิ่งลง  เนื่องจากปรับตัวไม่ทัน  ปรับตัวไม่ได้  หรือปรับตัวไม่เป็น  สำหรับธุรกกิจการจะไปอยู่บนส่วนขาขึ้นของตัว K ได้เราต้องเข้าใจเรื่องสำคัญ 5 เรื่องด้วยกัน

             เรื่องที่ 1 ธุรกิจที่ตั้งหน้าตั้งตารีดกำไรจะพ่ายแพ้ต่อธุรกิจที่ใส่ใจสังคมและความยั่งยืน  เนื่องจากลูกค้าจะมีความคาดหวังในมาตรฐานการทำธุรกิจที่สูงขึ้น  มาตรวัดความคุ้มค่าของลูกค้าไม่ใช่แค่ของดีต่อตัวเองแต่ต้องเป็นของที่ซื้อแล้วรู้สึกดีว่าเขาไม่ได้ไปสนับสนุนธุรกิจที่ทำร้ายสังคมทำร้ายสิ่งแวดล้อม  ดังนั้น  การจะได้เงินจากลูกค้า  ลำพังสินค้าหรือบริการดีตรงใจตรงความต้องการของลูกค้ายังไม่พอ  ยังต้องเป็นธุรกิจที่เป็นสมาชิกที่ดีของสังคมด้วย

             เรื่องที่ 2 ความสามารถในการปรับตัวสำคัญกว่ากำไร  หมดยุคของการใช้กำไรสูงสุดมาเป็นเป้าหมายของธุรกิจ  เพราะเป้าหมายสูงสุดมาจากประสิทธิภาพสูงสุด  ประสิทธิภาพสูงสุดมาจากการผลิตสินค้าในปริมาณพอเพื่อให้ต้นทุนต่อชิ้นต่ำสุด  หลังจากนี้ไป  เมื่อลูกค้าเคยชินกับการค้นหาข้อมูลสินค้าและบริการทางอินเตอร์เน็ตก็จะรู้จักเลือกมากขึ้นเพื่อให้ได้ของที่ตรงใจ  สินค้าที่ “เกือบใช่” จะพ่ายแพ้ต่อสินค้าที่ “ใช่” ลูกค้าที่เคยซื้อของเรา 100 คน  อาจหายไปเกือบครึ่ง  แถมลูกค้ายังเปลี่ยนใจเร็ว  ของที่เคยชอบวันนี้พรุ่งนี้อาจจะไม่ชอบก็ได้  ธุรกิจไหนปรับตัวได้เร็วกว่าย่อมได้เงินลูกค้าไปก่อน  ความยั่งยืนของธุรกิจจึงไม่ขึ้นอยู่กับกำไรสูงสุด  แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวเพื่อให้เกิดรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่องและทำกำไรได้ต่ออย่างเนื่อง

          เรื่องที่ 3 การบริหารความสัมพันธ์ในองค์กรแบบอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ  การทำงานอยู่กับบ้านในช่วงที่มีการระบาดทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อลดจำนวนคนต่อพื้นที่ในที่ทำงาน  พนักงานส่วนหนึ่งทำงานอยู่กับบ้าน  การบริหารจัดการคนที่อยู่ในออฟฟิศคู่ไปกับคนทำงานจากที่บ้านต้องมีรูปแบบการบริหารความสัมพันธ์ที่ต่างออกไป  ทั้งในแง่ของเวลาทำงาน  การประเมินผลการทำงาน  รวมถึงการกำหนดรูปแบบการทำงานที่เหมาะสม  ไม่ให้ธุรกิจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน  และยังทำให้คนที่ต้องทำงานจากที่บ้านรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ถูกทอดทิ้ง  ยังได้รับการดูแลห่วงใยเหมือนเดิม

          เรื่องที่ 4 คนจะกลายเป็นภาระของธุรกิจ  ในบางธุรกิจต้นทุนของคนเป็นต้นทุนเกินครึ่งนึ่งของธุรกิจ  เมื่อต้องปรับตัวให้เร็วเพื่อให้ทันลูกค้า  นำหน้าคู่แข่ง  ในยุคที่เทคโนโลยีสามารถทำงานแทนคนได้  คนที่จะรักษาเอาไว้จึงต้องเป็นคนที่สามารถทำงานได้หลายอย่าง  ปรับตัวได้ดี  มีทักษะที่เทคโนโลยียังทำแทนไม่ได้หรือทำแทนได้ไม่ค่อยดี   เป้าหมายของธุรกิจจึงไม่ใช่การรักษาคน  แต่เป็นการเลือกว่าปล่อยใครออกไปถึงจะช่วยให้ธุรกิจไปต่อได้ในระยะยาว

          เรื่องที่ 5 คู่แข่งนอกสายตาน่ากลัวพอกับคู่แข่งในสายตา  ธุรกิจที่สามารถยกระดับความสามารถในการปรับตัว  มีคนเก่ง  มีเทคโนโลยีที่เหมาะสม  ย่อมสามารถกระโจนเข้าหาโอกาสที่อยู่ในธุรกิจอื่นได้ง่าย  ได้เร็ว  และได้ผล  ดังนั้น  การจับตามองแต่คู่แข่งในวงการไม่พอ  ต้องเปิดหูเปิดตาให้กว้างมองหาม้านอกสายตาทั้งหลายที่มีโอกาสเข้ามาเปิดศึกกับเราได้  ที่สำคัญต้องมีแผนสำรองเสมอว่าถ้าวันดีคืนดีมีม้านอกสายตาเข้ามาแข่งแล้วทำได้ดีพอกันหรือดีกว่า  เราจะทำยังไงต่อไปดี  การมีแผนสำรองจำนวนมากที่สามารถนำมาใช้ได้ทันทีจึงเป็นเรื่องสำคัญ

          ว่ากันว่าโควิด-19 ไม่ได้เป็นแค่ไวรัสที่กระทบต่อสุขภาพ  แต่เป็นไวรัสทางเศรษฐกิจที่ระบาดใส่ธุรกิจที่ขาดภูมิคุ้มกัน  ส่งผลให้ธุรกิจเหล่านี้อ่อนแอลง  หากไม่สามารถฟื้นฟูสุขภาพของธุรกิจได้ทันกับผลจากการระบาดก็จะติดเชื้อหนักจนต้องอำลาวงการไป  นอกจากนี้แล้วถ้าฟื้นตัวช้า  ไม่ทันคนอื่น  ต่อให้โควิดหายไปก็ยังจะโดนธุรกิจที่พร้อมกว่าฆ่าทิ้งอยู่ดี 

สำหรับคนที่ไม่พร้อม  โลกหลังโควิดจึงเป็นโลกที่อยู่ยากเสียเหลือเกิน