จาเน็ท เยลเลน กับภาระ รมต.คลังสหรัฐ

จาเน็ท เยลเลน กับภาระ รมต.คลังสหรัฐ

ช่วงปลายเดือนที่แล้วมีข่าวว่า นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ จะแต่งตั้ง นางจาเน็ท เยลเลน อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ เป็น รมต.คลัง

ข่าวที่จะแต่งตั้ง นางจาเน็ท เยลเลน อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐคนต่อไป ดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวางทั้งจากสื่อมวลชน วงการวิชาการและตลาดการเงิน

นิตยสารเดอะ อิโคโนมิส (The Economist) ให้ความเห็นว่า ไม่มีนักเศรษฐศาสตร์คนไหนเหมาะสมเท่านางเยลเลนที่จะรับตำแหน่งนี้ ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์ รางวัลโนเบล โจเซฟ สติกลิตส์ (Joseph Stiglitz) กล่าวว่าไม่มีใครพร้อมเท่าเยลเลนที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาตอนนี้ ไม่ว่าในแง่ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ แนวคิด (Values) และความสามารถในการทำงานกับคนอื่น 

ขณะที่ตลาดการเงินก็ตอบรับข่าวในทางบวก หุ้นปรับสูงขึ้น มองว่าเยลเลนเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องและตลาดการเงินเข้าใจความคิดความอ่านของเธอเป็นอย่างดี จากที่นางเยลเลนเคยเป็นผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐถึง 4 ปีและเธอสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนปรนเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐขณะนี้

ผมเคยพบนางเยลเลนสมัยที่เธอดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลาง (เฟด) ซานฟรานซิสโก ตอนที่ผมทำงานอยู่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย พบในงานสัมมนาวิชาการที่สำนักงานเธอจัด นางเยลเลนเป็นนักวิชาการเต็มตัว มีความรู้มาก มีประสบการณ์การทำนโยบายเศรษฐกิจที่ยาวนานและสื่อสารได้ดี ความสามารถดังกล่าวทำให้นางเยลเลนประสบความสำเร็จในตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ 4 ปีต่อมา ช่วงปี 2014-18 วันนี้จึงอยากเขียนถึงความท้าทายต่างๆ ที่ รมต.คลังคนใหม่ของสหรัฐจะต้องเผชิญและความเหมาะสมของนางเยลเลนที่จะทำหน้าที่นี้ มองในมุมของนักเศรษฐศาสตร์

ที่หลายคนมองว่า นางเยลเลนมีความพร้อมมากสุดคนหนึ่งที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ ก็เพราะเธอเป็นนักเศรษฐศาสตร์โดยอาชีพ จบปริญญาเอกเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยล มีศาสตราจารย์โทบินและศาสตราจารย์สติกลิตส์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา 

เริ่มทำงานเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และสอนหนังสือที่ LSE และ เบิร์กลีย์ ทำงานกับภาครัฐครั้งแรกที่ธนาคารกลางสหรัฐในตำแหน่งนักวิจัย เป็นกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ ประธานคณะที่ปรึกษาเศรษฐกิจสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน เป็นประธานธนาคารกลาง (เฟด) ซานฟรานซิสโก รองประธานเฟด และดำรงตำแหน่งประธานเฟด หรือผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ ปี 2014-18 

การรับตำแหน่ง รมต.คลังครั้งนี้จะทำให้นางเยลเลนเป็นสุภาพสตรีคนแรกในตำแหน่งนี้ และเป็น รมต.คลังคนแรกที่มีประสบการณ์การทำงานในทั้ง 3 ตำแหน่งที่มีความสำคัญด้านเศรษฐกิจ คือ ประธานที่ปรึกษาประธานาธิบดีด้านเศรษฐกิจ ผู้ว่าการธนาคารกลางและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ปกติตำแหน่ง รมต.คลังสหรัฐจะเกี่ยวข้องกับงาน 3 ด้านหลัก หนึ่ง ประสานงานระหว่างรัฐบาลและสภาคองเกรสในเรื่องงบประมาณและการกู้ยืมเงิน สอง ดูแลเสถียรภาพของระบบการเงินในฐานะที่ รมต.คลังเป็นประธานสภากำกับดูแลเสถียรภาพของระบบเงิน (Financial Stability Oversight Council) และ สาม ทำงานร่วมกับรัฐบาลต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ไอเอ็มเอฟในการดูแลเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบการเงินโลก ซึ่งบทบาทหลังนี้ได้อ่อนแอลงมากในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์

แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติ คือ มีวิกฤติเศรษฐกิจที่เศรษฐกิจหดตัวรุนแรงจากผลของโควิด-19 ที่ยังไม่จบ ทำให้การหยุดระบาดและการฟื้นเศรษฐกิจจะเป็นงานสำคัญอันดับต้นๆ ของรัฐบาลโจ ไบเดน แต่นอกจากเรื่องเศรษฐกิจ สหรัฐก็มีปัญหาความแตกแยกในทางการเมืองของคนในสังคม ที่จะกระทบการทำนโยบาย ขณะที่เศรษฐกิจโลกก็ไม่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนเดิม ดังนั้น โจทย์สำคัญของ รมต.คลังสหรัฐจะไม่จบแค่การฟื้นเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ต้องทำให้ระบบเศรษฐกิจการเงินโลกกลับมาทำงานร่วมกันได้อย่างเข้มแข็งอีกครั้งภายใต้เงื่อนไขต่างๆ ที่มีอยู่ เป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับ รมต.คลังสหรัฐคนต่อไป

เป็นที่คาดหวังว่าจากความรู้ความสามารถและแนวความคิดที่มี นางเยลเลนจะสามารถทำหน้าที่ รมต.คลังได้ดี โดยเฉพาะใน 3 เรื่องสำคัญที่ทุกฝ่ายอยากเห็นให้มีการแก้ไขและตัวเธอเองก็เริ่มแสดงความคิดเห็นในเรื่องเหล่านี้บ้างแล้ว นั่นคือ การฟื้นเศรษฐกิจ การนำระบบการค้าและการเงินโลกกลับเข้าสู่ระบบพหุภาคีเหมือนเดิม และดูแลประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำและความเป็นอยู่ของกลุ่มคนที่อ่อนแอในสังคม โดยคาดหวังว่าเธอจะให้ความสนใจและทำเรื่องเหล่านี้จริงจัง

ในประเด็นแรก เรื่องการฟื้นเศรษฐกิจ คงไม่มีใครปฏิเสธว่า นโยบายการเงินการคลังที่ผ่อนคลายยังจำเป็นมากต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐ ดังนั้น การมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 ที่มีประสิทธิภาพจึงสำคัญ แต่การดำเนินการเรื่องนี้ได้หยุดไปสมัยประธานาธิบดีทรัมป์

ในประเด็นนี้ สิ่งที่ทำให้ผมสบายใจก็คือ แนวคิดของเยลเลนที่ให้ความสำคัญเรื่องวินัยการเงินการคลังในการทำนโยบายเศรษฐกิจซึ่งต่างจากคนอื่น จริงอยู่เศรษฐกิจขณะนี้ต้องการการกระตุ้น ทำให้จำเป็นต้องใช้จ่าย แต่การใช้จ่ายก็ควรต้องให้ความสำคัญกับภาพระยะยาวของฐานะการเงินการคลังและความเป็นหนี้ของประเทศ เพราะรัฐบาลจะต้องมีการหารายได้เพื่อชำระคืนหนี้ในอนาคต 

ดังนั้น ในสายตาของเยลเลน การทำนโยบายการคลังอย่างมีวินัยจึงสำคัญ และไม่ต่างกับนโยบายการเงินที่ต้องมีวินัยเช่นกัน นางเยลเลนพูดเสมอว่า การทำนโยบายการเงินแบบมีกฎมีเกณฑ์ (Rules-based) สำคัญต่อการสร้างความมั่นใจให้กับตลาดการเงิน ต่อความเป็นอิสระของธนาคารกลาง และการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจในระยะยาว

การให้ความสนใจในเรื่องเหล่านี้ทำให้นักลงทุนสบายใจว่า สหรัฐจะไม่เข้าสู่สถานการณ์ที่เศรษฐกิจใช้จ่ายอย่างเกินตัวจนนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงในอนาคต

สอง ความคิดของนางเยลเลนที่สนับสนุนการค้าเสรีและความเป็นเสรีของตลาด ทั้งการค้าและเงินลงทุนระหว่างประเทศ ทำให้มีโอกาสสูงที่นโยบายเศรษฐกิจสหรัฐจากนี้ไปจะกลับไปสู่การส่งเสริมความเป็นเสรีของตลาดและความร่วมมือของประเทศต่างๆ ที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เศรษฐกิจโลกมี ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่ และใช้ระบบพหุภาคีเป็นกลไกส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และแก้ไขปัญหาข้อพิพาททางการค้าและการลงทุนที่เศรษฐกิจโลกมี ต่างกับเมื่อ 4 ปีก่อน ที่ระบบพหุภาคีได้ถูกด้อยค่าลง 

เป็นที่คาดการณ์ว่า ภายใต้รัฐบาลโจ ไบเดน ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศที่สนับสนุนการค้าเสรีจะกลับมาอยู่ในสปอตไลท์อีก ขณะที่ข้อพิพาทระหว่างสหรัฐกับจีนจะไม่รุนแรงมากกว่าที่เป็นอยู่ และ/หรืออาจปรับตัวดีขึ้นในระยะต่อไป ในเรื่องนี้ความเป็นนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์ของนางเยลเลน จะทำให้การทำนโยบายของรัฐบาลสหรัฐมีเหตุมีผลบนพื้นฐานของหลักวิชาการและข้อมูล นำไปสู่การตัดสินใจที่จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลก

สาม ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ นางเยลเลนตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เศรษฐกิจสหรัฐมี เห็นได้จากผลกระทบที่วิกฤติโควิด-19 มีต่อคนส่วนล่างของสังคมที่มีคนขาดรายได้และตกงานจำนวนมาก เป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข ทั้งโดยการสร้างงานให้คนมีรายได้ การลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา และการปฏิรูปให้ระบบประกันสังคม (Social Safety Net) มีความทั่วถึงที่จะดูแลคนส่วนล่างของสังคม นี่คือโจทย์เศรษฐกิจที่ได้ถูกละเลยมานานและวิกฤติโควิดก็แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจในเรื่องเหล่านี้ จนพูดได้ว่านำไปสู่ความแตกแยกของคนในสังคม

การแก้ปัญหาต้องเริ่มจากแนวคิดที่เป็นกลาง การยอมรับความผิดพลาดของระบบทุนนิยม และมองประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ด้วยเหตุนี้ การเข้ารับตำแหน่ง รมต.คลังของนางเยลเลนจึงสร้างความหวังว่าปัญหาเหล่านี้จะได้รับการแก้ไข และนางเยลเลนในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่อยู่ในกระบวนการทำนโยบายเศรษฐกิจมายาวนาน จะสามารถผลักดันการแก้ไขให้เกิดขึ้นได้

ในความเห็นของผม ทั้งสามข้อที่พูดถึงนี้ทำให้นางเยลเลนเป็นความหวังและมีความเหมาะสมที่จะรับตำแหน่ง รมต.คลังสหรัฐ แม้มีการตั้งข้อสังเกตว่า นางเยลเลนไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง ซึ่งอาจทำให้การประสานการทำงานระหว่างรัฐบาลและสภาคองเกรสที่เสียงส่วนใหญ่เป็นของพรรครีพับลิกันอาจมีข้อจำกัด ผลคือการผลักดันการแก้ไขปัญหาจะทำได้ยาก

ในเรื่องนี้ผมมองตรงข้ามคือ สหรัฐอเมริกามีปัญหาสำคัญที่ต้องแก้ไขที่ทุกคนรู้ นางเยลเลนในฐานะ รมต.คลังมีความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาเพื่อส่วนรวม มีความเป็นกลางและมีความรู้ความสามารถที่จะทำ ทั้งสามสิ่งนี้เป็นสิ่งที่นักการเมืองส่วนใหญ่ไม่มี ดังนั้น การสนับสนุนนางเยลเลนแก้ปัญหาจึงเป็นสิ่งที่ควรต้องทำ