Trump ไป Biden มา อเมริกาตั้งตัวใหม่

Trump ไป Biden มา อเมริกาตั้งตัวใหม่

ว่าที่ประธานาธิบดี Biden จะขอร้องให้ชาวอเมริกันทุกคนสวมหน้ากากอนามัยในช่วง 100 วันแรก

นับตั้งแต่วันรับตำแหน่ง เพื่อยับยั้งโรคโควิด-19 เพราะสถานการณ์โควิด-19ในอเมริกายังรุนแรงมากมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 273,000 คน และประเมินว่าอีก 3 เดือน อาจมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 180,000 คน

ความล้มเหลวในการควบคุมโรคระบาดของรัฐบาลทรัมป์ สร้างความเสียหายอย่างมากต่อชีวิตและสุขภาพ ของพลเมืองรวมทั้งเศรษฐกิจและสังคมของสหรัฐอเมริกา แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งโดยระบอบประชาธิปไตย ที่ถึงแม้จะดูวุ่นวายและขณะนี้ก็ยังไม่ลงเอย ก็กำลังนำมาสู่หนทางใหม่

ข่าวดีเรื่องวัคซีนจากหลายบริษัท ทำให้มีความหวัง ดัชนีหุ้นเพิ่มขึ้นโดยสม่ำเสมอ ทั้งที่เศรษฐกิจโดยทั่วไปยังน่าวิตก แต่กว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะได้รับวัคซีนนี้ ก็คงหลังจากเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป เพราะการผลิตและขนส่งค่อนข้างยุ่งยาก

สัปดาห์นี้ทั่วสหรัฐอเมริกายังมีการระบาดรุนแรงต่อเนื่อง นิวยอร์กและแคลิฟอร์เนีย ต้องออกกฎหมายบังคับเข้มงวดอีกครั้ง ให้ประชาชนอยู่บ้านและยกเว้นกิจกรรมนอกบ้านทุกอย่าง ประชาชนจำนวนมากยังเดือดร้อนในการทำมาหากิน สถาบันการศึกษาปิดหรือเปลี่ยนวิธีการสอน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อาคารพาณิชย์และมโหรสพต่างๆกำลังเสี่ยงต่อการล้มละลาย

รัฐบาลทรัมป์ซึ่งเหลือเวลาในการบริหารอีกไม่กี่สัปดาห์ พยายามทิ้งทวนเพื่อสร้างความทรงจำไว้กับกลุ่มผู้สนับสนุน มีการเปิดเจรจากับประธานสภาผู้แทนฯเพื่อผลักดันการอนุมัติเงินกระตุ้นเศรษฐกิจรีบด่วนคนละ 1,200 เหรียญ ให้ทันเทศกาลคริสต์มาส เผื่อมีโอกาสหวนกลับมาชิงตำแหน่งคืนอีก 4 ปีข้างหน้า 

นักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยมองข้ามไปถึงรัฐบาลใหม่แล้ว ทีมเศรษฐกิจของ Biden ประกาศชัดเจนเรื่องการลงทุนสาธารณูปโภคใหญ่ และพลังงานสะอาด ด้วยงบประมาณมหาศาล ทำให้มีการเก็งกำไรกับหุ้นพลังงานและรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า รวมทั้งธุรกิจเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง  นักลงทุนจากต่างประเทศเตรียมตัวมาลงทุนกับอเมริกา หุ้นเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้าต่างประเทศคาดว่าจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ความมั่นใจของภาพรวมทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ราคาทองคำ ไม่พุ่งขึ้นอย่างที่เคยประเมินไว้

ทีมผู้บริหารและผู้วางนโยบายสำคัญของรัฐบาลชุด Biden เป็นสุภาพสตรีประมาณครึ่งหนึ่ง มีการจัดสรรผู้นำให้เป็นสัดส่วนคล้ายเป็นตัวแทนประชากรอเมริกัน เช่น ชนกลุ่มน้อย ผิวสี ต่างเผ่าพันธุ์ ฯลฯ นอกจากเป็นสัญลักษณ์และเป็นการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาระหว่างหาเสียงแล้ว Biden กำลังเปิดมิติใหม่ให้อเมริกาแนะนำตัวเองสู่สมาคมโลก ว่าพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้นำโลกอีกครั้งดั่งที่เคยเป็น 

ผู้นำจีนซึ่งได้แสดงความยินดีกับว่าที่ประธานาธิบดี Biden แล้ว ต้องเตรียมตัวรับสถานการณ์ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หลายอย่าง หากอเมริกาลดความกดดัน และเปิดโอกาสในการแข่งขันการค้าระหว่างสองประเทศ เศรษฐกิจจีนก็จะพุ่งแรงขึ้นอย่างแน่นอน แต่หาก Biden เลือกปรับนโยบายช้าๆ เพราะต้องการสร้างพันธมิตร กับยุโรปและออสเตรเลียเพื่อต่อรองกับจีน ก็ต้องมีการใช้ความอดทนและหาทางปรับตัวให้อยู่ได้ 

สัปดาห์นี้รัฐสภาอเมริกาเพิ่งออกกฎหมายเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบบัญชีของบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในจีน ให้ใช้มาตรฐานของอเมริกัน จะมีการลงโทษหากละเมิด รวมถึงการถูกปลดออกจากตลาดหุ้นในอเมริกา จุดประสงค์ของกฎหมายนี้เพื่อสร้างมาตรฐานคุ้มครองไม่ให้บริษัทจากต่างชาติมาหลอกลวงเอาเงินลงทุนของชาวอเมริกันไป ทำให้หุ้นของบริษัทจีนยอดนิยมในกลุ่มผู้ลงทุนอเมริกัน (BABA, JD, PDD, NIO, LI, BIDU, TCEHY  ฯลฯ) เกิดสะดุดเล็กน้อย มีการขายเทหุ้นประมาณ 5-10% แต่เริ่มทรงตัวและกลับขึ้นมาอีกภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว แสดงถึงความมั่นใจของผู้ลงทุนชาวอเมริกันกับโอกาสการเติบโตของธุรกิจในจีน 

การแข่งขันเรื่องนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์จะเป็นประเด็นใหญ่มากใน 2-3 ปีข้างหน้า แม้ขณะนี้ความสนใจของสื่อส่วนใหญ่ อยู่ที่โรคระบาดและการเปลี่ยนรัฐบาล แต่สิ่งที่ต้องก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว และหยุดยั้งไม่ได้คือนวัตกรรมของการสื่อสาร การเงินการธนาคาร การซื้อขายหุ้นที่ใช้เทคโนโลยี การใช้ 5G กับการคมนาคมและการแพทย์ ฯลฯ สหรัฐและจีนเป็นคู่แข่งที่น่าสนใจ แต่ที่มองข้ามไม่ได้คือยุโรปและอินเดียซึ่งมีตลาดใหญ่มาก และมีพื้นฐานของการพัฒนาด้านนี้สูงมากอยู่แล้ว 

นักลงทุนทั่วโลกพยายามหาทางเลือกอื่นแทนสหรัฐ แต่ก็หายาก รัฐบาลใหม่ มีภาพลักษณ์ของมืออาชีพที่คุ้นเคยกัน สร้างความมั่นใจให้กับการลงทุน เงินดอลล่าร์ที่ลดค่าลงมาระยะหนึ่ง อาจมีโอกาสแข็งตัวขึ้นมาอีก ผู้นำใหม่ส่งสัญญาณความเชื่อมั่น ซึ่งจะช่วยการบริโภค จะมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจกระจายไปทั่วโลก

เดโมแครตยังเหลือที่ต้องคุมวุฒิสภาให้ได้ ถึงเวลานี้รีพับลิกันได้แล้ว 50 ตำแหน่ง เดโมแครตได้ 48 ตำแหน่ง หากได้อีก 2 ตำแหน่งจาก Georgia ก็จะได้ 50 ตำแหน่งเท่ากัน หากมีกรณีที่เท่ากัน รองประธานาธิบดีซึ่งเป็นประธานวุฒิสภา (Kamala Harris) จะเป็นผู้ลงคะแนนชี้ขาด 

อุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกแยกเห็นเด่นชัดมาจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว และต่อเนื่องมาจนถึงการหาเสียแทนที่จะใช้สติด้วยความสงบและเปิดกว้างรับความเห็นใหม่ หลายคนเลือกรับเพียงข้อมูลซึ่งเสริมกับความคิดเดิม เพื่อย้ำเตือนว่าสิ่งที่ตนเชื่อเป็นข้อเท็จจริง จึงเกิดความคิดจำกัดในกรอบเดิม ขาดการพัฒนา ส่งผลให้มีการแบ่งฝ่าย แบ่งสีออกชัดเจน และนับวันยิ่งเข้มข้นมากขึ้น 

โรคระบาดเรื่องข้อมูลที่ทำให้ผู้บริโภคเชื่อปักใจกับความคิดในกรอบเดียวและไม่ฟังความเห็นของผู้อื่น ปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมรวมทั้งความมั่นคงของหลายประเทศในโลกไม่แพ้โควิดเลย 

นวัตกรรมการสื่อสารที่เป็นความสะดวกและให้โอกาสทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความเห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ แต่หากใช้ในทางที่ผิดก็จะสร้างความแตกแยก หน้าที่พลเมืองและความรับผิดชอบต่อสังคม ต้องมาควบคู่กับความมีเมตตา และเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน การประนีประนอมเป็นนโยบายที่ใช้ได้แทบทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหา ของสหรัฐ หรือมาตุภูมิที่เรารักครับ