กระแสเงินทุนต่างชาติ ปัจจัยใหม่กดดันค่าเงินบาทไทย

กระแสเงินทุนต่างชาติ ปัจจัยใหม่กดดันค่าเงินบาทไทย

ประเด็นเรื่องอัตราค่าเงินบาท กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งนะครับ หลังจากช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

อัตราค่าเงินบาทของไทยได้ปรับตัวแข็งค่าลงมาใกล้ระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอีกครั้ง หลังจากที่เคยแข็งค่าในระดับนี้ไปล่าสุดเมื่อช่วงสิ้นปีที่แล้ว การแข็งค่าของค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญในครั้งนี้ ย่อมส่งผลกระทบในเชิงลบต่อทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาทถือเป็นแรงกดดันที่รุนแรงต่อการเติบโตของภาคการส่งออกไทย ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องเรื่อย ๆ ในช่วงครึ่งปีหลังที่ผ่านมา และเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ ที่เป็นความหวังในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า 

โดยทั่วไปนั้น การแข็งค่าของเงินบาทเปรียบเสมือนเป็นการเพิ่มขึ้นของมูลค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างชาติอื่น ๆ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มีผลมาจากความต้องการเงินบาทที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาท โดยสิ่งที่อาจจะแตกต่างกันไปในการแข็งค่าของเงินบาทในแต่ละครั้ง อยู่ที่ปัจจัยหรือสาเหตุที่ส่งผลทำให้ความต้องการเงินบาทมีการเพิ่มขึ้น

เช่น ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แม้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลง แต่ค่าเงินบาทก็มีการแข็งค่าจากผลของการไหลเข้าของเงินลงทุนไทยที่เคยลงทุนในต่างประเทศไหลเข้ากลับมา เนื่องจากภาคธุรกิจและสถาบันการเงินมีการปรับลดความเสี่ยงจากการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งการนำเงินลงทุนที่อยู่ในรูปสกุลเงินต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยมีความจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเหล่านี้ให้เป็นสกุลเงินบาท ส่งผลให้ความต้องการสกุลเงินบาทในระบบเพิ่มสูงขึ้นเป็นแรงกดดันต่อค่าเงินบาททำให้ค่าเงินบาทนั้นแข็งค่า

อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินบาทในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีสาเหตุที่แตกต่างออกไปในช่วงไตรมาสที่ 2 เนื่องจากสาเหตุของการแข็งค่าของเงินบาทในครั้งนี้มาจากการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ ที่เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของไทย โดยในเดือนพฤศจิกายนมีการลงทุนจากต่างชาติรวมทั้งสิ้น 6.7 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ 3.5 หมื่นล้านบาท และลงทุนในตลาดตราสารทุน 3.2 หมื่นล้านบาท การไหลเข้ามาของเงินทุนต่างชาติในเดือนพฤศจิกายนส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่า 3% เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นเดือนตุลาคม ซึ่งปริมาณเงินทุนที่ไหลเข้ามาในเดือนพฤศจิกายน ถือเป็นยอดที่สูงที่สุดในรอบ 17 เดือน นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้วที่มียอดการไหลของของเงินทุนกว่า 1.2 แสนล้านบาท

สาเหตุหลักที่ส่งผลให้เกิดการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติในครั้งนี้ เป็นผลมาจากการปรับทิศทางการลงทุนของเงินลงทุนต่างประเทศที่มีการปรับย้ายเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผลจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผลการพัฒนาวัคซีนที่เป็นไปในเชิงบวก ทำให้เกิดมุมมองที่เป็นบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจ และส่งผลให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากสินทรัพย์เสี่ยงต่ำอย่างพันธบัตรสหรัฐฯ มาเลือกหาผลตอบแทนที่สูงในตลาดเอเชียที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ดีและสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแรง ซึ่งการเข้ามาของเงินทุนในเดือนพฤศจิกายนนี้ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสเงินทุนที่จะมีการไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก ในปีหน้าการไหลเข้าของเงินทุนก็มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปอีก อันเป็นผลมาจากความต้องการหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นของนักลงทุนต่างชาติ (Search for yield) ที่คงยังมีอยู่ต่อไป และส่งผลให้มีการเคลี่อนย้ายการลงทุนมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ประเด็นการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ที่จะกดดันแนวโน้มค่าเงินบาทไทยให้มีทิศทางแข็งค่ามากขึ้นอีกในปีหน้า ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น การเกินดุลการค้าของไทย ดังนั้น การบรรเทาการแข็งค่าของเงินบาทผ่านการใช้เครื่องมือเชิงนโยบายเพื่อเข้ามาดูแลในเรื่องของการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ จึงเป็นประเด็นที่สำคัญ ที่ชวนน่าติดตามว่ามาตรการการดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกมาในรูปแบบใด ประเด็นการแข็งค่าของเงินบาท เป็นประเด็นสำคัญที่ทุกฝ่ายควรให้ความสนใจเพื่อช่วยกันหาทางช่วยเหลือ และสนับสนุนให้ธุรกิจการส่งออกและธุรกิจการท่องเที่ยวสามารถกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในปีหน้าครับ