โอกาสที่ไม่ปกติ

โอกาสที่ไม่ปกติ

ภาวะการลงทุนที่ฟื้นตัวขึ้น หลังการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาที่ได้ว่าที่ประธานาธิบดี เป็น คุณไบเดน ตลาดหุ้นทั่วโลกก็พร้อมใจกันปรับตัวสูงขึ้น

ในขณะที่ ความคืบหน้าเรื่องวัคซีนต้านไวรัส COVID-19 ก็เริ่มทยอยเปิดตัวมาเรื่อยๆ โดยเริ่มจากทาง Pfizer  Moderna และ ล่าสุด Astrazeneca ยังไม่นับของจีน และ รัสเซีย ทำให้หุ้นกลุ่ม ท่องเที่ยว การเงิน และ พลังงาน ต่างทยอยปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นไปทุกตลาดหุ้นทั่วโลก

คำถามที่เกิดขึ้น ในช่วงนี้ คือ จากนี้ไป อีก 1 - 2 ปี ใครจะเป็น winner ระหว่าง Old Economy กับ New Economy คำตอบที่ได้รับจะออกมาประมาณว่า หุ้น New economy ซึงเป็นหุ้น New Technology  ที่เป็น นวัตกรรม ใหม่ๆ ต่างก็ปรับตัวสูงขึ้นมาตลอดทั้งก่อนหน้า ที่จะมีการแพร่ระบาด ของ COVID-19 จนมาถึงปัจจุบัน มีมูลค่าที่สูงมาก และน่าจะเข้าสู่โหมดปรับฐาน เพื่อรอดู ผลการดำเนินงานก่อน และ หุ้น     Old Economy ซึ่งตกต่ำลงมาตลอดช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะ กลุ่มพลังงาน และการเงิน มีมูลค่าต่ำเกินจริง ก็ควรจะปรับตัวขึ้นมาในจังหวะที่กลุ่มแรกอยู่ในช่วงปรับฐาน ซัก 1-3 เดือน แต่ผมอยากจะมอง ต่างออกไป นิดนึง ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 เราเห็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างรวดเร็ว ทำให้นวัตกรรมทาง On-Line ได้รับ การยอมรับอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น Work From Home  Virtual Office  E-Learning  และ Virtual assistance  เป็นต้น อย่างไรก็ตามสิ่งใหม่ๆเหล่านี้เป็นแค่ตัวกลางในการนำเสนอบริการและสินค้าให้สะดวกและรวดเร็วขึ้น แต่ผู้ผลิต และผู้ให้บริการยังคงอยู่ แค่ ปรับตัวให้สอดคล้อง กับสิ่งใหม่เท่านั้น ดังนั้น ผมจึงอยากจะบอกว่า จะไม่มี ใครเหนือกว่ากันในทั้ง 2 กลุ่ม แต่จะมีสิ่งใหม่ที่ใหญ่กว่า และเราควรศึกษาในเรื่องนี้ เพิ่มเติม คือ New World Order และ Next Normal

New World Order คือ การจัดระเบียบโลกใหม่ หรือ ระเบียบโลก ที่เปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ การที่มี ระบบการซื้อขาย จัดส่ง และการชำระเงิน ทั้งหมดให้เสร็จสิ้นภายใน คลิกเดียว หรือแม้แต่การประชุม On line แบบพร้อมกันทั่วโลก และ โลกเสมือนจริง รวมทั้งการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิต เป็นแบบ Automation สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้พรมแดน ทางการค้า การเมือง และการปกครอง ถูกเว้นวรรคออกไป เริ่มมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ

Next Normal ขอแปล ตรงตัวไปก่อนว่า ความปกติในอนาคต สิ่งที่เราเห็นได้ คือ Cashless Society หรือ สังคมไร้เงินสด ซึ่งในอนาคตจะคลอบคลุม ไป ทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นวิธีหรือช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การจัดการ และการผลิต ที่ แตกต่างไปจากในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงมาเร็วขึ้น

อย่างไรก็ดี ในมุมของบลจ.วรรณมองว่า ตลาดหุ้นโลกยังปรับตัวได้อย่างโดดเด่นในปี 2021 จากนโยบายการเงินและการคลังที่มีแนวโน้มผ่อนคลายต่อเนื่อง ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของกลุ่มประเทศหลักของโลกยังอยู่ในระดับต่ำต่อไป (Low yield environment) และสภาพคล่องที่ยังคงล้นระบบเป็นปัจจัยช่วยให้การลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงยังคงความน่าสนใจและจะช่วยให้ผลตอบแทนที่คุ้มเสี่ยงว่าตราสารหนี้โดยเปรียบเทียบ โดยเฉพาะในการลงทุนที่เน้น stock selection คือเลือกเฉพาะธุรกิจที่เป็นผู้ชนะ หรือเป็นธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดฝันในช่วงที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี โดยธุรกิจเหล่านี้ล้วนเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรม และมีศักยภาพในการแข่งขันเหนือคู่แข่งอื่นๆ ในอุตสากรรมเดียวกัน (New normal business) อย่างไรก็ดี ภาพการลงทุนโดยรวมธุรกิจที่ยังอยู่ในช่วงการเติบโตที่ยังไม่เต็มอิ่ม (Immaturity) จะเป็นกลุ่มที่ปรับตัวได้อย่างโดดเด่นในปีหน้าตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รองลงมาคือหุ้นบริษัทชั้นนำซึ่งเป็นที่หมายตาของนักลงทุนทั่วโลก (ONE-UGG) และกลุ่มธุรกิจ e-commerce (ONE-GECOM)

ดังนั้น อาจจะพูดได้ว่า เราไม่อาจจะทิ้งหรือเว้นวรรคการลงทุนจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้อย่างสิ้นเชิง เพราะทุกกลุ่มสามารถผันตัวเองเข้าสู่ สิ่งใหม่ได้  ผมยังคงให้น้ำหนักการลงทุนอยู่ในกลุ่ม Technology ตราบใดที่ยังสามารถ นำเสนอสิ่งใหม่ๆ และ มีผลการดำเนินงานที่จับต้องได้จริง ดังนั้นการพักฐานของหุ้นกลุ่มนี้อาจจะเป็นโอกาสในการที่จะทยอยเข้าสะสม ในขณะเดียวกันผมก็จะไม่ทิ้งโอกาสในการลงทุนในกลุ่มที่มีมูลค่าปรับตัวลงลึกและเป็นกลุ่ม ที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถส่งผ่านผลการดำเนินงานที่มั่นคงและอัตราการจ่ายปันผลที่ดี เช่น กลุ่มอาหาร บริการทางการแพทย์ และสาธาณูปโภคขั้นพื้นฐาน