สหรัฐตัดGSPไทย รับมือปัญหาธุรกิจส่งออกด้วยเทคโนโลยี-ดาต้า

สหรัฐตัดGSPไทย  รับมือปัญหาธุรกิจส่งออกด้วยเทคโนโลยี-ดาต้า

จากการที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย เป็นถึงคู่ค้าอันดับ 3 ได้ระงับให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) กับสินค้านำเข้าจากไทย

จำนวน 573 รายการคิดเป็นมูลค่าประมาณ 48,000 ล้านบาท มีผลตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2563 และจำนวน 231 รายการคิดเป็นมูลค่าประมาณ 25,000 ล้านบาท มีผลตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2563 เหตุการณ์นี้ส่งผลโดยตรงแก่บรรดา      ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องโดยต้นทุนการส่งออกจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากภาษีนำเข้าสูงขึ้นเฉลี่ย 4.5% ทำให้เสียความสามารถในการแข่งขัน โดยคาดการณ์ไว้ว่ามูลค่าการส่งออกรวมของไทยอาจลดลงไปอีก 0.01% และยังทำให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาดภายในประเทศตามมาด้วย ซึ่งหากทางไทยเราไม่สามารถเจรจาต่อรองเพื่อแก้ไขการระงับสิทธิ GSP ดังกล่าวได้ ผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกจำเป็นต้องปรับตัวครั้งใหญ่

เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุนด้านอื่นๆ

การลดต้นทุนในด้านต่าง ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในขณะนี้  ซึ่ง CFRESH เองถือเป็นบริษัทหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการตัดสิทธิ GSP เช่นเดียวกันโดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจส่งออกกุ้งแช่แข็งไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวมถึงสหรัฐอเมริกา ซึ่งในช่วงปี 2563 นี้ได้มีการปรับกลยุทธ์โดยการขยายฐานผลิตสินค้าไปยังกลุ่มบริษัทย่อย ลดต้นทุนการผลิตและระบบจัดการขนส่งด้วยการใช้เทคโนโลยี ปรับกลยุทธ์การขายสินค้า เพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายทางออนไลน์ รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในด้านต่าง ๆ เช่น การคัดแยกสินค้า การพัฒนาศักยภาพของเครื่องจักร ที่นอกจากจะช่วยทุ่นแรงงานแล้วยังช่วยลดความเสี่ยงด้านการปนเปื้อน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก ๆ ในอุตสาหกรรมอาหาร ส่งผลให้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 นี้ บริษัทกลับมีรายได้สูงขึ้น 9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

สร้างมูลค่าเพิ่มในตัวสินค้า เพื่อเจาะตลาดใหม่ในประเทศ

แบรนด์เก่าแก่อยู่คู่ครัวคนไทยและชาวต่างชาติที่รักในอาหารไทยมานานอย่าง “แม่ประนอมซึ่งมีกลุ่มผู้บริโภคหลักคือร้านอาหาร โรงแรม และส่งออกขายในต่างประเทศถึง 30% ก็อยู่ในกลุ่มเข้าข่ายที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย ประกอบกับทางแบรนด์ได้ทำการสำรวจผู้บริโภคและพบว่า สำหรับผู้บริโภคที่เป็นคนรุ่นใหม่ ๆ แบรนด์แม่ประนอมกลับยังไม่รู้จักทั้งๆ ที่ยังมีการบริโภคอยู่เป็นประจำ ผู้บริหารจึงหันมาทำกลยุทธ์เพื่อเจาะตลาดใหม่ ๆ ภายในประเทศ โดยทำการตลาดให้เข้ากับยุคสมัยด้วยการหา Insight จากผู้บริโภคกลุ่มต่าง ๆ โดยใช้ Data จากเครื่องมือ Social Listening เพื่อมาตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป จนนำมาสู่การทำแพ็กเกจใหม่เป็นหลอดบีบซึ่งเหมาะกับไลฟสไตล์ของคนยุคนี้ เน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ และมีการทำ Real-Time Marketing เพื่อเกาะกระแสของคนรุ่นใหม่ และสร้างแคมเปญต่าง ๆ เช่น “แม่ประนอม in your area!” ที่โดนใจและได้รับการตอบรับทางออนไลน์อย่างมาก  ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวนี้ทำให้แม่ประนอมได้เข้าไปเป็นที่รู้จักของคนรุ่นใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น มียอดขายเพิ่มขึ้น จนนำมาสู่การคว้ารางวัล PM Award 2020 ถึง 2 รางวัล

 

ในยุคที่ลูกค้ามีตัวเลือกมากมาย กลยุทธ์ที่จะทำอย่างไรให้แบรนด์หรือสินค้าของเราได้รับความสนใจจากลูกค้า การเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ จะสำเร็จถ้าแบรนด์รู้จักและเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดี และลึกซึ้งเพียงพอ การใช้ Data จากแหล่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจากฐานข้อมูลลูกค้าเก่า แต่นำมาวิเคราะห์ในมิติใหม่ ๆ การเก็บข้อมูลเพิ่มเติมจากลูกค้าเก่า การเก็บข้อมูลจากภายนอก เช่น Social Media หรือผ่านทาง Community ต่าง ๆ คือเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับเข้าใจ Customer Insight และนำมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ หรือ แม้กระทั่งการ Cross-Selling จากการแนะนำผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ผู้บริโภคอาจต้องการ และปรับกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อให้เข้าถึงความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม รวมถึงอัพเดทเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา กลายเป็น Solution ที่สามารถเติมช่องว่างระหว่างอุปสงค์กับอุปทาน และลดช่องว่างระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค

เทคโนโลยีและการใช้ Data นอกจากสามารถช่วยในการเจาะตลาดกลุ่มใหม่ คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และช่วยลดต้นทุนด้านต่าง ๆ  แล้ว ยังสามารถนำมาวิเคราะห์และใช้ Forecast หรือคาดการเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป เพราะทุกวันนี้กุญแจสู่ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ในการแข่งขันทางธุรกิจอยู่ที่ความ Intelligence ที่ได้จากข้อมูลและความรวดเร็วในการคิดกลยุทธ์ตามสถานการณ์  ซึ่งการทำนายเทรนด์และความสนใจของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำจะช่วยให้ธุรกิจเราสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนที่ยังรออยู่อีกมากมายในเบื้องหน้าครับ