มหัศจรรย์ Blockbuster Vs.Netflix

มหัศจรรย์ Blockbuster Vs.Netflix

เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว Blockbuster คือ king of movie rental service กระทั่งปี 1997 มีระเบิดปรมาณูก่อตัวที่เป็นต้นเหตุของเทวดาตกสวรรค์

เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว Blockbuster คือ king of movie rental service มีรายได้ต่อปี 5,900 ล้านเหรียญ มีพนักงาน 60,000 คน มีมูลค่าบริษัทที่ 5,000 ล้านเหรียญ นี่เป็นตัวเลขในปี 2004 ปี 1997 มีระเบิดปรมาณูก่อตัวที่เป็นต้นเหตุของเทวดาตกสวรรค์ ลูกค้าคนหนึ่งของ Blockbuster ชื่อ Reed Hasting เสียค่าปรับ 40 เหรียญจากการที่เขานำภาพยนตร์เรื่อง Apollo 13 คืนช้ากว่ากำหนด เงินค่าปรับและความหงุดหงิดทำให้ Reed Hasing ตั้งบริษัท Netflix เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่เงิน 40 เหรียญคือเหตุแห่งความหายนะ ในช่วงแรก Netflix ทำธุรกิจโมเดลคล้ายคลึงกับ Blockbuster แต่เติมนวัตกรรมเข้าไป ทำให้ Netflix เดินหน้าได้ดีพอควรมีสมาชิกถึง 100 ล้านคน ในปี 2000 Netflix เสนอขายกิจการให้กับ Blockbuster ด้วยมูลค่า 50 ล้านเหรียญ แต่ Blockbuster ปฏิเสธข้อเสนอ โอกาสมาเคาะประตูถึงหน้าบ้านแต่ Blockbuster ตาบอดทำให้พวกเขากลายเป็นเถ้าถ่านในวันนี้

 

ในปี 2007 Reed Hasting มองการณ์ไกล เขาเห็นว่า broadband internet จะเข้ามามีบทบาทในโลกธุรกิจ เขามี mandate ตั้งทีมงานเล็ก ให้พัฒนา movie streaming service ซึ่งต้องบอกว่าเขาเป็นคนแรกที่เห็นโอกาสนี้ ด้วยวัฒนธรรมพิเศษขององค์กร freedom & responsibility และได้ทีมงานมือระดับพระกาฬ สุดท้าย Netflix เป็นองค์แรกในโลกที่ให้บริการ movie streaming service ในช่วงแรกภาพยนตร์ที่ให้บริการใน Netflix เป็นภาพยนตร์ที่ซื้อลิขสิทธิ์มาจากค่ายหนังยักษ์ใหญ่ของ Hollywood ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ในปี 2012 Netflix เริ่มผลิต content ของตัวเองภายใต้ชื่อว่า Netflix original ในช่วงแรกดาราที่แสดงและผู้กำกับก็เป็นเกรดระดับรอง ภาพยนตร์ของ original series ที่สร้างชื่อเสียงให้ Netflix คือ TV series เรื่อง House of Cards เป็นภาพยนตร์ที่โด่งดังและได้รับรางวัล Emmy Award

 

มาถึงตรงนี้ Netflix แน่ใจว่า original content คือไม้เด็ดที่ทำให้แบรนด์ของพวกเขามีความพิเศษ ในปี 2020 Netflix ลงทุนผลิต content ตัวเองด้วยเงิน 17,000 ล้านเหรียญ ด้วยเงินมหาศาลขนาดนี้ทำให้ Netflix เป็นแม่เหล็กดึงดูดดาราและผู้กำกับระดับเทพของ Hollywood มาร่วมงาน ตัวอย่างของผู้กำกับชื่อดังที่ Netflix นำมาสร้าง original content คือ Martin Scorsese เขาเป็นเจ้าพ่อที่มีผลงานมากมาย ภาพยนตร์เรื่อง The Aviator ที่เขากำกับได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar 11 หมวดหมู่ Alfonso Cuaron ผู้กำกับภาพยนตร์ดังเรื่อง Gravity และ Guillermo del Toro ที่ผลงานของเขาได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 2018 หนังเรื่องนั้นคือ The shape of water เท่านั้นไม่พอ Netflix ยังบรรลุข้อตกลงกับ Barrack กับ Michelle Obama โดยอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกากับภรรยาผลิตโชว์ของตัวเองป้อนให้กับ Netflix โดยสารคดีเรื่องแรกที่ครอบครัว Obama ผลิตและออกอากาศแล้วชื่อ American Factory

 

ด้วยการทุ่มทุนดึงแม่เหล็กของวงการ ทำให้ทุกวันนี้ Netflix มีสมาชิกทั่วโลก 182.8 ล้านครัวเรือน ผู้อ่านทราบดีว่าค่าสมาชิกของ Netflix ต่อเดือนมีมูลค่าเท่าไร ประเด็นคือรายได้ต่อปีของ Netfix มีมูลค่ามหาศาล เพราะตลาดของ Netflix คือตลาดโลกและทุกวันนี้ Netflix มี local original content ที่ผลิตในประเทศอื่น นอกสหรัฐอเมริกาเพื่อเอาใจตลาดท้องถิ่นในแต่ละประเทศ โมเดลธุรกิจของ Netflix เป็นการขับเคลื่อนปัจจัยในการบริหารธุรกิจถึง 3 parameters ทั้งความเร็ว คุณภาพ และปริมาณ ซึ่งเป็นการบริหารที่ยากมาก ตัวอย่างหนึ่งที่จะอธิบายเรื่องนี้ Netflix เมื่อจะผลิต TV series พวกเขามีโมเดลที่แตกต่างจากวิธีการเดิมของ Hollywood วิธีการเดิมคือจะเริ่มจากการผลิต pilot episode แล้วนำไปออกอากาศ ดูว่า rating ของ pilot episode ดีมากน้อยเพียงไร แล้วค่อยไปผลิต series ทั้ง season ที่เหลือ Netflx มีกระบวนที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ถ้าทีมงานเห็น script ของ TV series มีคุณภาพดี พวกเขาจะผลิต TV series ทั้ง season เลย ไม่จำเป็นต้องมีการทดสอบความนิยมของผู้ดู ถามว่าทำอย่างนี้เพื่ออะไร เพื่อให้ Netflix มี content ที่ป้อนให้ผู้ชมอย่างไม่ขาดความต่อเนื่อง

 

การที่ Netflix ขับเคลื่อนทั้งความเร็ว คุณภาพ และปริมาณ นี่คือหัวใจที่ทำให้แบรนด์นี้ครองใจคนรักการดูภาพยนตร์ เคยมีคนพูดกันเล่น ว่าคู่แข่งของ Netflix คือการนอนหลับเพราะ Netflix มีภาพยนตร์จำนวนมหาศาลให้สมาชิกดูอย่างไม่ขาดสาย เคยมีคนเล่าให้ผมฟังว่าในช่วงที่ covid 19 ระบาดหนักเมื่อต้นปี สุภาพสตรีท่านหนึ่งไม่ออกจากบ้านเลย สิ่งที่เธอทำระหว่างที่อยู่ในบ้านคือดู content ของ Netflix แบบ non stop คำว่า non stop เธอดู TV series ไปทั้งหมดเกือบ 20 เรื่อง ซึ่ง TV series เรื่องหนึ่งจะมี 10 episodes ความหมายคือเธอดูภาพยนตร์ไปทั้งหมด 200 กว่าตอนในช่วงสองเดือน มาถึงตรงนี้ผมขอขยายความว่า covid 19 คือตัวเพิ่มอัตราเร่งทำให้ Netflix พุ่งเป็นจรวด เพราะเมื่อผู้คนถูกขังคุกอยู่แต่ในบ้าน ทุกคนต้องหาวิธีในการ entertain ตัวเอง และ Netflix คือคำตอบที่ทุกคนมองหา ผลคือปีนี้ Netflix มีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ส่งผลให้หุ้นของ Netflix เพิ่มขึ้น year to date 49.5%

 ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นชัด มูลค่าของบริษัท Netflix วันนี้อยู่ที่ 216,000 ล้านเหรียญ ส่วน king of entertainment อย่าง Disney มูลค่าอยู่ที่ 249,000 ล้านเหรียญ ต้องบอกว่านี่เป็นความมหัศจรรย์ที่องค์กรซึ่งมีอายุเพียง 20 กว่าปีสามารถยกระดับเทียบเท่ากับ Disney ที่ถือว่าเป็นตำนานของ Hollywood และมีอายุเกือบ 100 ปี ที่ Netflix ทำได้สำเร็จเพราะพวกเขามีโมเดลธุรกิจที่ฉีกแนวจาก convention ของ Hollywood ประการแรกโมเดลธุรกิจของพวกเขาไม่มีรอยต่อตั้งแต่การผลิตไปถึงการสร้างรายได้ ความหมายคือผลิตภาพยนตร์แล้วสร้างรายได้ทันที ไม่ต้องเข้าคิวในการจัดจำหน่ายและเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ประการที่สอง Netflix ตัดตัวกลางออกจากวงจรธุรกิจ ไม่ต้องแบ่งรายได้ให้กับใคร ได้รายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย

 นี่คือตัวอย่างของ real disruptor ซึ่งเหตุเกิดจากค่าปรับ 40 เหรียญ