แผนเศรษฐกิจหมุนเวียนของ EU สู่การจัดการขยะอย่างยั่งยืน

แผนเศรษฐกิจหมุนเวียนของ EU สู่การจัดการขยะอย่างยั่งยืน

EU เสนอแผนเศรษฐกิจหมุนเวียนฉบับใหม่ สู่การจัดการขยะอย่างยั่งยืน คาดสามารถสร้างงานใหม่กว่า 7 แสนตำแหน่ง เพิ่ม GDP EU ร้อยละ 0.5 ใน ค.ศ. 2030

ปัจจุบันเศรษฐกิจอียูนั้นยังเป็นเศรษฐกิจแบบเชิงเส้น (Linear Economy) ที่ให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรในกระบวนการผลิตเท่านั้น โดยนาย Frans Timmermans รองประธานกรรมาธิการยุโรป ได้กล่าวว่า “ปัจจุบันมีการนำวัตถุดิบทุติยภูมิ (secondary material) กลับมาใช้ใหม่ในเศรษฐกิจอียูเพียง 12% เท่านั้น โดยสินค้าจำนวนมากชำรุดง่าย ไม่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ ซ่อมแซมหรือรีไซเคิล และผลิตมาเพื่อการใช้แล้วทิ้ง ซึ่งยังมีศักยภาพมากมายสำหรับธุรกิจและผู้บริโภคในการนำวัตถุดิบเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ต่อได้ อียูจึงเสนอแผนปฏิบัติการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนฉบับใหม่นี้ เพื่อปฏิรูปการผลิตสินค้าและสนับสนุนให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกบริโภคอย่างยั่งยืน เพื่อประโยชน์ของตนเองและสิ่งแวดล้อม”

แผนปฏิบัติด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนฉบับใหม่ของสหภาพยุโรป (Circular Economy Action Plan (CEAP)) เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจสีเขียว (European Green Deal) ซึ่งเป็นการนำเสนอมาตรการเพื่อปรับเปลี่ยนสินค้าในตลาดอียูให้เป็นสินค้าเพื่อความยั่งยืน และเพิ่มอัตราการใช้วัสดุหมุนเวียนของอียูเป็นสองเท่าในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า มุ่งสู่การเป็นเศรษฐกิจสีเขียว โดยอียูคาดว่าแผนปฏิบัติด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนนี้ จะสามารถสร้างงานใหม่กว่า 700,000 ตำแหน่งและเพิ่มค่า GDP ของอียูขึ้นร้อยละ 0.5 ในปี ค.ศ. 2030

อียูได้เสนอมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าต่าง ๆ ครอบคลุมตลอดทั้งวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ เริ่มตั้งแต่การออกแบบสินค้า กระบวนการผลิต จนถึงการบริโภคสินค้า การซ่อมแซมสินค้า การนำสินค้ากลับมาใช้ใหม่ และการนำสินค้าไปรีไซเคิล รวมถึงการให้สิทธิแก่ผู้บริโภคเพิ่มเติม อาทิ สิทธิในการได้รับข้อมูลในการซ่อมแซมผลิตภัณฑ์ เป็นต้น โดยเน้นการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ลดการสร้างขยะ และนำทรัพยากรกลับมาใช้ในวงจรเศรษฐกิจของอียูให้ได้นานที่สุด

การออกแบบสินค้าเพื่อความยั่งยืน

ในภาวะปัจจุบันที่สินค้าตามท้องตลาดต้องแข่งขันกันด้วยราคา โดยเฉพาะควบคุมราคาต้นทุน ส่งผลให้สินค้าจำนวนมากผ่านกระบวนการออกแบบและ/หรือผลิตมาเพื่อการใช้งานเพียงครั้งเดียว จึงยากที่จะนำกลับมาใช้อีกครั้ง ไม่สามารถซ่อมแซมหรือนำมารีไซเคิลได้ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว  อียูจึงกำหนดกรอบนโยบายสำหรับสินค้าเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Product Policy Framework) โดยอียูมีแผนจะปรับปรุงข้อบังคับด้าน “Ecodesign” (Directive 2009/125/EC setting of ecodesign requirements for energy-related products) ให้ครอบคลุมสินค้าอื่น ๆ เพิ่มขึ้นภายในปี 2564 นี้ เนื่องจากปัจจุบันข้อบังคับนี้ ครอบคลุมสินค้าที่เกี่ยวกับพลังงาน/ใช้พลังงานสูงเพียง 40 ประเภทเท่านั้น อาทิ หลอดไฟ โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องทำน้ำร้อน และเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น

หลักการของ “Ecodesign” คือ การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สุด โดยมีเป้าหมายในการออกแบบสินค้าให้ใช้พลังงานน้อยและหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงการเลือกใช้วัสดุ การใช้น้ำ การปล่อยมลพิษ ปัญหาขยะ และการรีไซเคิล เป็นต้น ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และลดการผลิตขยะตั้งแต่จุดเริ่มต้น อาทิ หากผู้ผลิตเลือกใช้วัสดุที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติหรือวัสดุที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ ก็จะไม่เกิดปัญหาด้านการจัดการขยะ และนี่คือบทบาทสำคัญของ Ecodesign ในการส่งเสริมแผนปฏิบัติด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนของอียู

นอกจากนี้ อียูยังมีแผนที่จะเสนอมาตรการด้านกฎหมายอื่น ๆ รวมถึง 1) การห้ามขายสินค้าใช้แล้วทิ้ง (single-use)  2) การปรับปรุงอายุการใช้งานของสินค้าให้ยาวขึ้น 3) การแสดงข้อมูลส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นอันตรายในสินค้า 4) การเพิ่มสัดส่วนวัสดุจากการรีไซเคิลในสินค้า และ 5) การห้ามทำลายสินค้าคงทน (durable goods) ที่จำหน่ายไม่หมดอีกด้วย เพื่อสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนของอียู โดยทีมงานจะคอยติดตามพัฒนาการเพื่อมารายงานให้ผู้อ่านทราบในฉบับต่อไป

บทบาทของผู้บริโภคในเศรษฐกิจหมุนเวียน

        ผู้บริโภคจะได้รับผลประโยชน์จาก “Right to Repair” หรือ “สิทธิในการซ่อมแซม” โดยอียูจะพิจารณาแก้ไขกฎระเบียบคุ้มครองผู้บริโภคภายในปี 2564 เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่น่าเชื่อถือได้ ณ จุดขาย อาทิ อายุการใช้งาน/ความทนทานของสินค้า ข้อมูลด้านการซ่อมแซมสินค้า รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทางบริษัทผู้ผลิตสินค้าต้องจัดเตรียมข้อมูลที่จำเป็นเหล่านี้แก่ผู้บริโภค ตลอดจนรายละเอียดของการจัดหาอะไหล่และคู่มือการซ่อมแซมสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าที่ยั่งยืนและเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม

        ภาครัฐเป็นผู้บริโภครายใหญ่ในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น อียูจึงมีแผนส่งเสริม “การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว” ของภาครัฐด้วย โดยการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำในการซื้อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งย้ำให้เห็นถึงแนวโน้มการบริโภคสินค้า/บริการของอียู ที่กำลังจะเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว

อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการหมุนเวียนสูง

        เนื่องจากครึ่งหนึ่งของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดมาจากการสกัดและแปรรูปทรัพยากร อียูจึงมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างสมบูรณ์ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเหลือศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050 ดังนั้น อียูจะออกมาตรการควบคุมอุตสาหกรรมที่ใช้ทรัพยากรมากที่สุดและมีศักยภาพในการหมุนเวียนสูง ได้แก่ 1) อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และ ICT 2) แบตเตอรี่และยานยนต์ 3) บรรจุภัณฑ์ 4) พลาสติก 5) สิ่งทอ 6) การก่อสร้างและอาคาร และ 7) อาหาร โดยอียูจะพัฒนากฎระเบียบร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมนั้น ๆ เพื่อระบุอุปสรรคในการขยายตลาดสำหรับสินค้าเพื่อความยั่งยืนในแต่ละอุตสาหกรรมเป้าหมาย และร่วมกันหาทางออก

          ยกตัวอย่างเช่นร่าง “Circular Electronics Initiative” สำหรับอุตสาหกรรมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และ ICT ซึ่งอียูจะเสนอมาตรการภายใต้กรอบข้อบังคับด้าน “Ecodesign” เพื่อกำหนดให้ผู้ผลิตสินค้าออกแบบอุปกรณ์ที่ยั่งยืน อาทิ โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และแล็ปท๊อป ให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีความคงทน สามารถซ่อมแซม รองรับการอัพเกรด นำกลับมาใช้ได้อีก และที่สำคัญสามารถนำไปรีไซเคิลได้ รวมถึงการเสนอให้มีอุปกรณ์ชาร์จไฟที่เป็นสากลสำหรับโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์คล้ายกัน เพื่อผู้บริโภคจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ชาร์จทุกครั้งเมื่อซื้ออุปกรณ์ใหม่หรือเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ออกมา โดยอียูจะพิจารณาเสนอโครงการรับคืนหรือขายคืน สำหรับโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และอุปกรณ์ชาร์จเก่า เพื่อเป็นการจัดการกับขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกต้องและยั่งยืน

การรีไซเคิลเพื่อลดการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ

        หนึ่งในจุดประสงค์หลักของแผนปฏิบัติด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน คือ การลดปริมาณขยะตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ โดยสามารถลดขยะจากการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน และการรีไซเคิลแทนการผลิตใหม่ทั้งหมดเพื่อลดการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติและนำขยะกลับมาใช้ใหม่ให้ได้มากที่สุด อาทิ การนำขยะอลูมิเนียมกลับมาใช้ใหม่แทนการผลิตจากวัตถุดิบใหม่ ซึ่งกระบวนการรีไซเคิลแทบไม่ส่งผลกระทบต่อคุณสมบัติหลักของอลูมิเนียม จึงทำให้อลูมิเนียมเป็นวัตถุดิบที่มีศักยภาพในการหมุนเวียน โดยหลายประเทศในอียูมีระบบการจัดการขยะและการแยกขยะอยู่แล้ว

ดังนั้น อียูอาจพิจารณากำหนดระบบการแยกขยะและการติดฉลากที่เป็นหนึ่งเดียวกันในอียู เพื่อสร้างตลาดสำหรับวัสดุจากการรีไซเคิลที่มีคุณภาพสูง ซึ่งจะเป็นแหล่งวัตถุดิบที่ยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ แผนปฏิบัติด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนยังกำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อลดการส่งออกขยะของอียูและจัดการการลักลอบทิ้งขยะผิดกฎหมายอีกด้วย

        การเปลี่ยนสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนนั้นเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย อย่างการสร้างโอกาสสำหรับธุรกิจใหม่ ๆ อาทิ ธุรกิจด้านการแยกขยะและธุรกิจด้านการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจหมุนเวียนก็เป็นความท้าทายสำหรับทั้งภาครัฐและเอกชนในการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของตลาดส่งออกสำคัญ เช่น ตลาดอียู เป็นต้น โดยภาคธุรกิจอาจพิจารณาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไป สู่การผลิตสินค้าและบริการเพื่อความยั่งยืน

 *ข้อมูลจาก ec.europa.eu เรียบเรียงโดยทีมงาน Thaieurope.net