โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จะเมื่อไหร่ก็ไม่ควรมี
ผมเพิ่งมีโอกาสได้ดูหนังเรื่อง Pandora ซึ่งเป็นหนังภัยพิบัติจาก "โรงงานนิวเคลียร์" ในยุคการสร้างชาติของประเทศเกาหลีใต้
บทสนทนาตอนต้นของภาพยนตร์พูดถึงความจำเป็นและความกังวลที่มีต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ว่า ตกลงมันเป็นกล่องของขวัญหรือกับดักมรณะกันแน่ สำหรับบ้านเรา น้ำมันแพงทีไรก็ได้มีเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ผุดขึ้นมาเป็นประจำ เหตุผลหลักหนีไม่พ้นเรื่องความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศซึ่งเพิ่มขึ้นแต่แหล่งพลังงานเรามีไม่พอ
แน่นอนว่า กว่าโรงไฟฟ้าจะเกิดขึ้นมาได้ต้องผ่านกระบวนการต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นประเมินความเสี่ยง ความคุ้มค่าในการลงทุน การเลือกทำเลที่ตั้ง การทำประชาพิจารณ์ และการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยใช้หลักวิชาการเข้ามาจับเพื่อให้ผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย หลักการประเมินโครงการแบบนี้เป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลก โครงการส่วนใหญ่สามารถตีค่าประโยชน์และต้นทุนได้ชัดเจน จนทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าหลักการประเมินโครงการแบบนี้ใช้ได้กับโครงการทุกประเภท แม้กระทั่งโรงงานนิวเคลียร์
ในความเป็นจริงแล้ว หลักการนี้เหมาะกับโครงการที่มีขอบเขตในการลงทุนชัดเจน ต้นทุนสามารถประเมินออกมาเป็นตัวเงินได้อย่างค่อนข้างถูกต้องแน่นอน มีข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยง และโอกาสในการเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ค่อนข้างครบถ้วน อย่างไรก็ตาม ในกรณีของ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เราไม่ควรเอาหลักการวิเคราะห์ผลประโยชน์และต้นทุนแบบที่ใช้กันทั่วไปมาเป็นตัวตัดสินว่าจะ “เอา” หรือ “ไม่เอา” โครงการนี้
เหตุผลสำคัญคือ ถึงแม้ทีมงานประเมินโครงการจะสามารถคำนวณประโยชน์ในรูปของตัวเงินได้อย่างค่อนข้างแม่นยำ แต่คงไม่มีใครในบ้านเมืองเราหรือแม้แต่ในโลกที่เก่งพอจะประเมินต้นทุนรวมที่แท้จริงของโครงการนี้ได้
ต้นทุนของการมีโรงไฟฟ้าไม่ได้มีเฉพาะค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าเวนคืน ค่าจ้าง และค่าใช้จ่ายที่เป็นตัวเงินเท่านั้น ความวิตกกังวลของคนที่อยู่ใกล้ๆ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็ถือว่าเป็นต้นทุนเหมือนกัน ใครจะบอกได้ว่าการนอนไม่หลับ สะดุ้งตื่นตอนกลางดึก ความเป็นห่วงเป็นใยสมาชิกในครอบครัวรวมกันแล้วมีค่าสักเท่าไหร่ แม้แต่เจ้าตัวเองยังบอกไม่ได้เลย
นี่ยังไม่นับกรณีเกิดอุบัติเหตุ สมาชิกชมรมคนรักโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มักจะบอกเราเสมอว่าโรงงานนี้มีความปลอดภัยสูง โอกาสจะเกิดอุบัติเหตุมีน้อย กากนิวเคลียร์ก็จะถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ไม่มีทางรั่วไหลออกมาได้ ดังนั้น ตามหลักสถิติแล้ว โอกาสจะเกิดอุบัติเหตุมีน้อยมากจนแทบจะเป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์
แต่ถ้าเกิดเราโชคร้ายกิดอุบัติเหตุขึ้นจริง ความเสียหายจะมากมายขนาดไหน หลายคนน่าจะจำได้ว่าตอนที่โรงไฟฟ้าเชอร์โนเบิลเกิดอุบัติเหตุ กัมมันตรังสีลอยไปไกลถึงยุโรป นั่นแสดงว่า ต่อให้เอาโรงงานไปตั้งไว้เหนือสุดที่แม่ฮ่องสอน หรือใต้สุดแถวนราธิวาส หากทิศทางลมเป็นใจ คนกรุงเทพและคนไทยทั่วทุกภาคก็มีโอกาสได้รับกัมมันภาพรังสีได้เหมือนกัน ความเสียหายระดับนี้ จะตีค่าออกมาเป็นเงินได้ไหม? หายนะระดับสิ้นชาติแบบนี้ ถ้าตีค่าออกมาได้จริงก็คงจะมหาศาลเกินกว่าจะรับได้
อีกประเด็นหนึ่งซึ่งน่าคิดคือ เราขาดพลังงานหรือว่าเราบริหารจัดการพลังงานไม่ดีกันแน่? ถ้าเราขาดพลังงานจริง จำเป็นด้วยหรือที่ต้องจบลงด้วยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ การยกเอาเหตุผลว่าประเทศพัฒนาแล้วเขามีกันมานานแล้ว ทำไมเราจะมีบ้างไม่ได้ สะท้อนให้เห็นถึงจิตสำนึกของการเป็นผู้ตาม อยากจะไปอยู่แนวหน้าทางเศรษฐกิจ แต่เดินตามเขาตลอด อีกกี่สิบกี่ร้อยปีก็ไม่มีทางจะเทียบชั้นกับใครได้
จริงอยู่ แหล่งพลังงานทางเลือกอื่นมีต้นทุนสูง แต่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เองต้องใช้เงินทุนมหาศาลเหมือนกัน หากโรงไฟฟ้าเป็นแผนระยะยาว แสดงว่าเรายังพอมีเวลา ถ้ามีเวลา ก็แสดงว่ายังมีโอกาสมองหาทางเลือกใหม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่เอาเงินเหล่านี้มาทุ่มกับการวิจัยและพัฒนาหาทางออกในแบบของเราเอง?
อย่าดูถูกสติปัญญาของคนไทยนะครับ ผมเชื่อว่าบ้านเมืองเรามีนักวิทยาศาสตร์ที่เก่ง นักคิดนักวิจัยที่มีวิสัยทัศน์อยู่เป็นจำนวนมาก หากให้การสนับสนุน ให้เวลา ให้โอกาส คงไม่เกินความสามารถของคนเหล่านี้ที่จะหาทางออกแบบไม่ต้องมาเสียวสันหลังกันทั้งประเทศ ดีไม่ดีการเลือกคิดเองทำเองอาจถูกกว่าเอาเงินไปจ้างเขามาสร้างโรงไฟฟ้าเสียอีก หากกล้าจะเอาประเทศไปไทยเสี่ยงกับโรงไฟฟ้า ก็ต้องกล้าเดิมพันกับคนเก่งบ้านในบ้านในเมืองเราเหมือนกัน เสี่ยงน้อยกว่าเยอะ
เศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ แต่การพัฒนาเศรษฐกิจที่อยู่บนพื้นฐานของโอกาสเกิดมหันตภัย มันไม่ต่างอะไรกับการสร้างประสาททรายบนชายหาย ตอนลมฝนสงบก็ดูสวยงามดี วันไหนลมแรงคลื่นสูง ประสาทจะโดนซัดจนเสียหาย ยิ่งถ้าเกิดโชคร้ายเจอกับซึนามิขึ้น ตูมเดียวปราสาทก็หายวับไปกับตา ไม่ต้องถามว่าชะตากรรมของคนในปราสาทจะเป็นอย่างไร