เมื่อศาลไทยสามารถพิจารณา 'คดีออนไลน์'

เมื่อศาลไทยสามารถพิจารณา 'คดีออนไลน์'

ผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และนโยบาย Social Distancing ส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมออนไลน์เพื่อก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ในทางกฎหมายมีจำนวนเพิ่ม

            ด้วยเหตุนี้ เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 63 ที่ผ่านมา จึงได้มีการบังคับใช้ ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 (ข้อกำหนดฯ) เพื่อเป็นทางเลือกในการอำนวยความสะดวกให้การพิจารณาคดีความของศาลสามารถกระทำผ่านช่องทางออนไลน์ได้

             การพิจารณาคดีสะดุดเพราะโควิด
          ที่ผ่านมา ข้อมูลจากสำนักงานศาลยุติธรรม แสดงให้เห็นว่า ผลจากการแพร่ระบาดของโควิดทำให้ศาลชั้นต้นทั่วประเทศจำเป็นต้องเลื่อนนัดพิจารณาคดีร่วมสามเดือน (มี.ค. - พ.ค. 63) รวมจำนวนทั้งสิ้น 163,620 คดี ซึ่งในจำนวนคดีทั้งหมดนี้ คดีผู้บริโภค และ คดีแพ่ง เป็นประเภทคดีที่ถูกเลื่อนมากที่สุดตามลำดับ

           กรณีใดบ้างที่ศาลสามารถพิจารณาคดีออนไลน์ได้

           ข้อกำหนดฯ ระบุว่า มีสองกรณีที่ศาลสามารถพิจารณาเลือกให้มีการพิจารณาคดีออนไลน์ได้ กล่าวคือ
1) กรณีที่ศาลเห็นสมควร หรือ 2) กรณีที่คู่ความร้องขอ ทั้งนี้ ในการพิจารณาเมื่อมีการร้องขอ ศาลจะต้องใช้ดุลยพินิจเพื่อพิเคราะห์ว่าคดีดังกล่าว สมควรพิจารณาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือไม่ โดยให้คำนึงถึงความสะดวกและประหยัดของคู่ความประกอบด้วย หรืออีกนัย ศาลจะต้องพิจารณาประกอบด้วยว่าคู่ความจะสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากน้อยเพียงใด และการพิจารณาคดีออนไลน์จะเป็นอุปสรรคในทางปฏิบัติของคู่ความฝ่ายใดหรือไม่ ทั้งนี้ รายละเอียดของประเภทคดีที่อนุญาตให้พิจารณาออนไลน์ รวมถึงหลักเกณฑ์ และวิธีการในทางปฏิบัติ สำนักงานศาลยุติธรรมจะประกาศกำหนดในรายละเอียดต่อไป


            ประเด็นสำคัญในการพิจารณาคดีออนไลน์ของศาลไทย

            ประเด็นแรก เอกสารสามารถยื่น ส่ง และรับผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ กล่าวคือ เอกสารต่าง ๆ ในสำนวนความ เช่น รายงาน/เอกสารที่ส่งต่อศาล ภาพถ่ายพยานเอกสาร/วัตถุ หลักฐานการรับจ่ายเงินที่เกี่ยวกับคดี รวมถึงข้อมูลที่ประมวลผลด้วยรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ในลักษณะต่าง ๆ สามารดำเนินการผ่าน e-Mail หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทต่าง ๆ ได้

           ประเด็นที่สอง สามารถจัดทำเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยข้อกำหนดฯ ได้ปรากฏหลักการของ e-Document ใน ม. 8 ของกฎหมายธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยในข้อ 9 ของข้อกำหนดฯ ได้บัญญัติว่า กฎหมายจะยอมรับความสมบูรณ์ของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และรับรองให้มีสถานะเป็นหนังสือที่มีผลทางกฎหมายตามที่ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งกำหนดไว้นั้น จะต้องเข้าองค์ประกอบสามประการ คือ

1) ข้อมูลดังกล่าวสามารถเข้าถึงได้ โดยเข้าถึงได้ หมายถึง ข้อความดังกล่าวสามารถอ่านได้ ตีความได้ หรือแปลความหมายให้เข้าใจได้

2) ข้อมูลดังกล่าวต้องนำกลับมาใช้ได้ คำว่า นำกลับมาใช้ได้ในกรณีนี้ หมายถึง มาเปิดดูภายหลังได้ หรือสามารถดึงข้อมูลให้ปรากฏในภายหลังได้ (เช่น ข้อมูลเก็บไว้ใน Inbox ของอีเมล ที่สามารถเรียกดูได้ในภายหลัง)

3) ข้อมูลดังกล่าวต้องมีความหมายไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่ง ความหมายไม่เปลี่ยนแปลงในที่นี้เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ข้อมูลที่เก็บไว้นั้นไม่ถูกเปลี่ยนแปลงระหว่างทางนับแต่แรกสร้าง

         ประเด็นที่สาม ศาลสามารถนั่งพิจารณาโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ กล่าวคือ ข้อกำหนดฯ ได้เปิดช่องให้ศาลสามารถเลือกนั่งพิจารณาและบันทึกคำเบิกความโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ กล่าวคือ หากศาลเห็นสมควร เราอาจได้เห็นการนั่งพิจารณาคดีผ่าน Video Conference อย่างที่มีตัวอย่างในต่างประเทศ อย่างไรก็ดี ข้อจำกัดของ Video Conference คือ ในกรณีที่ศาลบันทึกคำเบินความพยานเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบ text file คู่ความ/พยาน อาจไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ ดังนั้น ในกรณีเช่นนี้ ศาลต้องอ่านคำเบิกความให้พยานฟังเสมอ

            ประเด็นที่สี่ ห้ามปฏิเสธการรับฟังข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เป็นพยาน กล่าวคือ หลักการเรื่อง “การห้ามปฏิเสธความมีผลผูกพันและการบังคับใช้กฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เป็นหลักการพื้นฐานของกฎหมายธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์อยู่แล้ว อย่างไรก็ดี ข้อกำหนดฯ ยังได้ล้อหลักการของกฎหมายธุรกรรมในการให้ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจในการ ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานว่าข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวน่าเชื่อหรือไม่โดยในการพิจารณา ศาลจะพิจารณาจากความน่าเชื่อถือของลักษณะ วิธีการสร้าง และวิธีการเก็บรักษาข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประเด็นเหล่านี้จะเป็นข้อพิจารณาได้ส่วนหนึ่งว่า ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว “ไม่ถูกแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงระหว่างทาง ซึ่งในทางปฏิบัติศาลอาจพิจารณาพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ประกอบด้วยก็ได้

         นอกจากนี้ ข้อกำหนดฯ ยังได้ระบุวิธีการในทางปฏิบัติ โดยอนุญาตให้คู่ความที่ประสงค์จะใช้พยานหลักฐานในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้ยื่นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ศาลกำหนด และไม่จำต้องส่งสำเนาให้อีกฝ่าย เว้นแต่คู่ความฝ่ายนั้นไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวได้

         ประเด็นที่ห้า คำพิพากษาออนไลน์ กล่าวคือ ในกรณีปกติ ม.141 ของกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้กำหนดให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลต้องทำเป็นหนังสือ และต้องมีการลงลายมือชื่อของผู้พิพากษาไว้ ดังนั้น ในกรณีของการพิจารณาคดีออนไลน์ เมื่อการพิจารณาเสร็จสิ้น ศาลสามารถทำคำพิพากษา/คำสั่งและใช้วิธีลงลายมือชื่อในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature) ได้ โดยให้ถือว่าเป็นการทำคำพิพากษา/คำสั่งที่ทำโดยใช้กระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์นั้น มีผลเช่นเดียวกันกับคำพิพากษาที่ทำในกรณีปกติและมีผลสมบูรณ์ตาม ม.141 ข้างต้น

         ประเด็นที่หก ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาสามารถประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ และมีผลไม่ต่างจากการประชุมตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในกฎหมายและระเบียบทีเกี่ยวข้อง

            ท้ายที่สุด ผู้เขียนเชื่อว่า แม้ “ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์พึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา และจะยังมีประกาศในทางปฏิบัติอีกจำนวนหนึ่งที่จะออกตามมาในอนาคต แต่ก็นับว่า ข้อกำหนดฉบับนี้ เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ ทันสมัย และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อันจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการยุติธรรมของไทยในโลกที่ไร้พรมแดนต่อไป

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน