เลือกตั้งสหรัฐ:‘เทพ’ ต้องผจญ ‘มาร’
เลือกตั้งอเมริกาจบลงไปแล้วกว่า 4 วัน แม้จะยังไม่อาจบอกได้ว่าใครชนะ แต่มีข้อสังเกตหลายประการจากการเลือกตั้งครั้งนี้
ซึ่งเรื่องนี้ก็คาดเดากันไว้ก่อนหน้าแล้วจากปรากฏการณ์ที่คนลงคะแนนทางไปรษณีย์ และเอาบัตรมาหย่อนก่อนวันเลือกตั้งจริงอย่างท่วมท้นกว่า 100 ล้านคน เมื่อกฎหมายเรื่องการนับบัตรลงคะแนนของแต่ละรัฐแตกต่างกัน ความล่าช้าก็เป็นเรื่องธรรมดา มีข้อสังเกตหลายประการจากการเลือกตั้งครั้งนี้
ประการแรก ดูไปแล้วเลือกตั้งสหรัฐครั้งนี้จะไม่ต่างไปจากประเทศกำลังพัฒนา เช่นไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย หรือที่ร้ายไปกว่านั้นคือบางประเทศในอเมริกาใต้และอาฟริกา ตำรวจต้องเตรียมพร้อมรับมือฝูงชนที่เป็นฐานเสียงของแต่ละฝ่ายว่าจะออกมาสร้างความจลาจล (เป็นจริงในบางเมืองหลังเลือกตั้งหนึ่งวันและอาจมีอีก) จนมี “เลือดตกยางออก” การเลือกตั้งลักษณะนี้เขาสงวนสิทธิไว้เฉพาะประเทศเหล่านี้ ไม่ใช่สหรัฐอเมริกาที่มีการเลือกตั้งมาตลอด 244 ปีอย่างน่าชื่นชมและเป็นตัวอย่างของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
อะไรที่ทำให้เกิดปรากฎการณ์ที่น่าอายแก่ชาวโลกเช่นนี้? ความแตกแยกอย่างมากของคนอเมริกันในการถือหางพรรคเดโมแครตและพรรคริพับลิกัน โดยเฉพาะในการเชียร์และไม่เชียร์ประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งโยงกับความรู้สึกในเรื่องการเหยียดผิว การเหนือกว่าของคนผิวขาว บทบาทของสหรัฐอเมริกาในโลก นโยบายปราบโควิด นโยบายเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาสังคมและเศรษฐกิจ ฯลฯ
บุคคลที่มีบทบาทอย่างมากในการสร้างความแตกแยกด้วยการให้ท้ายพวก เหยียดผิว เหยียดเพศหญิง พวกใช้ความรุนแรง ฯลฯ ก็คือตัวประธานาธิบดีทรัมป์เอง ด้วยการพูด การกระทำ และการสื่อความหมายด้วยภาษากายและการตีความระหว่างบันทัด สิ่งที่ทรัมป์ใช้ก็คือการโกหกอย่างซ้ำไปซ้ำมาอย่างมีวาทะศิลป์จนบรรดาแฟนเชื่อและบูชาทุกคำพูด และมองข้ามจุดด้อยของเขาคือความด้อยความสามารถในการดูแลปกครองประเทศ การขาดคุณธรรมประจำใจ การไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น การไร้ความสุภาพ การไม่ให้เกียรติคนอื่น การไม่เข้าใจการเสียสละเพื่อชาติ (เขาสงสัยว่าคนเป็นทหารนั้นโง่ยอมไปตายเพื่ออะไรก็ไม่รู้) การขาดคุณค่าพื้นฐานของการเป็นพลเมือง การขาดวัฒนธรรมในระบอบประชาธิปไตย การไม่จริงใจต่อการรักษาและเชิดชูระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกา ฯลฯ
ทรัมป์ขาดคุณสมบัติเหล่านี้อย่างที่ทุกคนซึ่งมีใจเป็นกลางจะมองเห็นเพราะมีหลักฐานจากการกระทำและการพูดของเขา คนอเมริกันส่วนใหญ่เกลียดเขาเพราะการขาดคุณธรรม การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวก (เขาอภัยโทษให้พรรคพวก 2-3 คน เพื่อปิดปากไม่ให้ซัดทอดเขาในการกระทำชั่วร้ายหลายอย่าง ซึ่งจะเห็นชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเขาตกจากอำนาจ) และการขาดคุณสมบัติขั้นพื้นฐานของคนที่มีวัฒนธรรม เช่น การรู้จักแพ้ รู้จักชนะ การรักษาเกียรติศักดิ์ศรีของสถาบัน การรักษาขนบประเพณีของการเคารพความเห็นที่แตกต่าง ฯลฯ
ประการที่สอง “ผีคอมมูนิสต์” ยังขลังทำงานได้ผล ทรัมป์บอกประชาชนอเมริกันตอนหาเสียงว่า หากเลือกไบเด็นคู่แข่งแล้วจะถูกพวกโซเชียลลิสต์(เป็นคำแทนของคอมมูนิสต์) ครอบงำ จะมีนโยบายของโซเชียลลิสต์ออกมา แบบแผนการดำรงชีวิตของคนอเมริกันจะหายไป เศรษฐกิจจะ พังพินาศ ฯลฯ ซึ่งก็มีคนเชื่อเป็นจำนวนไม่น้อย (ณ วันที่ 7 พฤศจิกายนมีคนเลือกทรัมป์ประมาณ 70 ล้านคน ซึ่งน้อยกว่าไบเดน 4ล้านคน) “ผีคอมมูนิสต์” ใช้หลอกคนในเมืองไทยไม่ได้ผลแล้ว แต่คนอเมริกาส่วนหนึ่งยังกลัวเหมือนคนไทยเมื่อ 30 ปีก่อนเพราะคนอเมริกันจำนวนหนึ่ง พ่อแม่หรือตนเองอพยพมาเพื่อหนีภัยคอมมูนิสต์ ดังนั้นการยกเอาผีตัวนี้มาขู่จึงได้ผลโดยเฉพาะบริเวณฟลอริดาซึ่งมีคนคิวบาและลูกหลานหนีภัยคอมมูนิสต์ของฟิเดลคาสโตรเมื่อกว่า 60 ปีก่อนอยู่เป็นจำนวนมาก
ในสหรัฐอมริกานักการเมืองที่ถือว่าเป็นคน liberal (เสรีนิยม) นั้นเป็นที่น่ารังเกียจของพวกหัวโบราณ (Kamala Harris ผู้สมัครรองประธานาธิบดีคู่กับไบเดนโดนอยู่บ่อย ๆ) ทรัมป์พยายามป้ายสีว่าไบเด็นเป็นคนฝักใฝ่เช่นนี้ พร้อมกับเป็นคนสมองเลอะเทอะ พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย หมดสภาพแล้ว (ตอนเข้ารับตำแหน่ง ไบเด็นจะมีอายุ 78 ปี ซึ่งมากกว่าทรัมป์เพียง 4 ปี) ซึ่งดูจะไม่ได้ผลเพราะพวกที่มีมันสมองมองว่าทรัมป์นั่นแหละคือคนเข้าลักษณะนี้ (โฆษณาในโทรทัศน์ต่อต้านไบเด็นก็เอาภาพมาตัดต่ออย่างหน้าไม่อายเพื่อให้เห็นการพูดหรือการแสดงออกที่เหมือนคนแก่ขี้หลงขี้ลืม)
ประการที่สาม ทรัมป์ได้แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นนักการเมืองอเมริกันที่แหกม่านประเพณีของการเป็นผู้มีใจเป็นนักกีฬา และพยายามรักษาสถาบันประชาธิปไตยด้วยการให้ความไว้วางใจกลไกลการเลือกตั้งเพื่อให้ได้ผู้ชนะอันเป็นที่ยอมรับ
ขณะนี้ไบเดนนำคะแนนอยู่กว่า 30,000 ในรัฐเพนซิลวาเนีย ส่วนมากจากบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์และหย่อนลงบัตรก่อนวันเลือกตั้งและมีทางโน้มเลือกไบเด็นท่วมท้นจนน่าเชื่อว่าไบเด็นจะชนะและได้เป็นประธานาธิบดี รัฐอื่น ๆ ที่ไบเด็นนำอยู่ก็คืออริโซนา และเนวาดา ซึ่งหากชนะทั้งสองรัฐนี้ หรือชนะรัฐเพ็นซิลวาเนียไบเด็นก็ชนะอีกเช่นกัน
เมื่อสองวันก่อน ทรัมป์ได้สั่งให้ทีมงานนักกฎหมายไปฟ้องศาลในหลายรัฐ เช่น วิสคอนซิน เพนซิลวาเนีย และอื่น ๆ ที่เขาคาดว่าจะแพ้ให้ระงับการนับคะแนนแต่ก็แพ้หลายคดีจนนับกันไปเรื่อย คาดว่าในวันพรุ่งนี้คงจะจบ แต่ทรัมป์ก็จะไล่บี้ให้นับอีกครั้งในรัฐที่คะแนนใกล้เคียง ซึ่งถ้าไบเด็นชนะทั้ง 3 รัฐที่เอ่ยถึงข้างต้นก็จบกันเพราะเพนซิลเวเนียคาดว่าจะชนะขาด
แต่ถึงอย่างไรก็จะยังไม่จบ เพราะทรัมป์พูดทำนองว่าจะมีกลุ่มผู้ใช้กำลังออกมาต่อต้านอีกในช่วงเวลา 2 เดือนกว่าก่อนที่จะมีการปฏิญาณตนในต้นมกราคม 2021 ของไบเดน และมีความเชื่อกันว่าถึงจะแพ้หมดทุกทางแล้วทรัมป์จะไม่ยอมอีก ถึงขนาดอาจไม่ยอมย้ายออกจากทำเนียบขาวเอาทีเดียว
ประเพณีของการแข่งเป็นประธานาธิบดีที่ผ่านมายาวนานก็คือเมื่อคะแนนแพ้แล้วก็จะออกมายอมรับว่าแพ้ และโทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับคู่แข่งที่ชนะ และบอกว่าเราจะร่วมทำงานกันต่อไปเพื่อคนอเมริกัน ภาพนี้คนอเมริกันเชื่อว่ายากที่จะเกิดขึ้น เพราะทรัมป์เป็นคนที่ไม่รู้จักแพ้ ไม่รู้จักการมีความงดงามเชิงวัฒนธรรมเพื่อเชิดชูสถาบันประชาธิปไตยด้วยการช่วยกันสร้างความน่าเชื่อถือของการเลือกตั้ง
สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือท่ามกลางความผิดพลาดของโพลล์บ้างในบางรัฐ และการเชื่อว่าจะชนะกันขาดลอย และความน่ารังเกียจของความเป็น “ทรัมป์” น่าอัศจรรย์ที่ยังมีคนอเมริกันถึงกว่า 70 ล้านคน ที่เลือกคนลักษณะนี้ให้กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง