การกลับมาอีกครั้งของ 'บิทคอยน์'

การกลับมาอีกครั้งของ 'บิทคอยน์'

เมื่อย้อนกลับไปประมาณช่วงปี 2017 เป็นช่วงที่ตลาดของเหรียญสกุลดิจิตัลอย่าง บิทคอยน์ ได้รับการจับตามองเป็นอย่างมาก

เนื่องจากว่าราคาของบิทคอยน์ได้พุ่งสูงขึ้นไปอย่างน่าตกใจ ตอนเดือนกันยายนของปีนั้นราคาบิทคอยน์อยู่ที่ 4,700 เหรียญสหรัฐ ภายในระยะเวลา 3 เดือนตอนเดือนธันวาคมของปีนั้นเองราคาขึ้นเกือบ 4 เท่าจนกลายเป็นเกือบ 20,000 เหรียญสหรัฐ หลังจากนั้นเป็นต้นมาราคาก็ค่อยๆไหลลงไปเรื่อยๆจนไปแตะจุดต่ำสุดที่ 3,400 เหรียญสหรัฐในเดือนมกราคมของปี 2019 แต่ไม่นานมานี้ราคาของบิทคอยน์ได้ขึ้นทะยานสู่จุดสูงสุดในรอบ 3 ปีที่ประมาณ 13,840 เหรียญสหรัฐเมื่อประมาณวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งการขึ้นรอบนี้ไม่เหมือนรอบก่อนที่คนแห่กันมาซื้อบิทคอยน์เพื่อหวังที่จะรวยทางลัดกัน แต่รอบนี้ได้มีปัจจัยหนุนรอบข้างทั้งการที่บิทคอยน์เข้าไปเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทอย่าง เพย์แพล (Paypal) การที่ราคาน้ำมันทั่วโลกตกต่ำลง และการที่ตลาดหุ้นทั่วโลกได้ตกกันระเนระนาด ทำให้นักลงทุน และ สถาบันการเงินทั่วโลก ได้เข้ามาสู่ตลาดของคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมองว่าเป็นทรัพย์สินตัวหนึ่งที่ปลอดภัยและสามารถรักษาเงินต้นที่ลงทุนไปได้

 

หากเรามองย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของ คริปโทเคอร์เรนซี แน่นอนว่าสกุลเงินคริปโทเคอร์เรนซีแรกของโลกคือ บิทคอยน์ (Bitcoin) บิทคอยน์ถูกก่อตั้งโดยกลุ่มคนหรือบุคคลที่ใช้นามสมมุติว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ (Satoshi Nakamoto) เมื่อเดือนมกราคมปี 2009 เหตุผลที่ทางคุณซาโตชิสร้างบิทคอยน์ขึ้นมาเพื่อที่ปกป้องสินทรัพย์ของพวกเขา พวกเขามองว่าถ้ารัฐบาลสามารถพิมพ์เงินออกมาเท่าไหร่ก็ได้ ในที่สุดสักวันสกุลเงินเหล่านี้ก็ต้องพังทลายลงมาเหมือนกับที่เกิดขึ้นที่ประเทศซิมบับเว และเขามองอีกว่าเราควรมีสกุลเงินเป็นของตัวเองที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับรัฐบาลไหนๆหรือธนาคารไหน ซึ่งแนวความคิดนี้ที่จะมีสกุลเงินโลก หรือ สกุลเงินของตัวเองไม่ใช่ความคิดใหม่ ตอนที่ อีลอน มัสค์ สร้างเพย์แพลขึ้นมานั้นตอนแรกเขาอยากสร้างสกุลเงินดิจิตัลของตัวเองขึ้นมา แต่ติดปัญหาตรงที่ว่าเทคโนโลยีในสมัยนั้นไม่เอื้ออำนวยต่อการสร้าง จึงกลายเป็นแค่ช่องทางการจ่ายเงินออนไลน์เท่านั้น ตอนที่บิทคอยน์เข้ามาในโลกนั้นในปี 2009 บิทคอยน์ต้องมีการขุดคล้ายๆทองที่ก็ต้องขุดออกมาจากเหมืองทอง สิ่งนี้เองที่จะถูกเรียกว่าบล็อกเชน บล็อกเชนทำหน้าที่ทั้งเป็นเหมือนที่เก็บข้อมูลโค๊ดต่างๆในการขุดบิทคอยน์ และการซื้อขายแลกเปลี่ยนบิทคอยน์ระหว่างกัน สิ่งนี้ทำให้บิทคอยน์สามารถเชื่อถือได้ และปลอดภัยจากการถูกแฮ็คข้อมูล และ การโกง

 

นอกจากนั้นเองเทคโนโลยีบล็อกเชนยังช่วยให้บิทคอยน์สามารถที่จะมีจำนวนจำกัดบนโลกนี้ เปรียบเสมือนทองคำที่ต่อให้ขุดจนหมดโลกแล้วก็ไม่สามารถที่จะผลิตเพิ่มออกมาได้ สิ่งนี้เองทำให้บิทคอยน์มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยน เพราะไม่มีหน่วยงานใดๆที่สามารถปลอมแปลงบิทคอยน์ขึ้นมาได้ เพราะบิทคอยน์มีจำนวนจำกัดอยู่เพียงแค่ 21 ล้าน BTC (สกุลเงินของบิทคอยน์) เท่านั้น โดยการมีบิทคอยน์ไว้ครอบครองในมือมีทั้งหมดสองวิธี หนึ่งคือ การที่เราขุดบิทคอยน์ออกมาจากบล็อกเชน ผ่านฮาร์ดแวร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ตอนแรกที่บิทคอยน์ถูกขุดออกมา จะได้ทั้งหมด 50 BTC ในแต่ละชั่วโมง แต่ทุกวันนี้จะเหลือเพียงแค่ 6.25 BTC เท่านั้น เพราะประมาณทุกๆ 4 ปีจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า Bitcoin Halving คือการลดจำนวนที่ขุดได้เหลือเพียงแค่ครึ่งเดียว ซึ่งครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นคือตอนเมื่อเดือน พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทำให้การขุดบิทคอยน์ไม่คุ้มเหมือนสมัยก่อน กับวิธีที่สองคือการซื้อขายแลกเปลี่ยนบิทคอยน์ ผ่านเว็บกลางอย่าง Binance หรือเว็บไทยอย่าง bitkub.com ซึ่งสามารถที่จะเอาสกุลเงินไทยบาทของเรา ไปฝากไว้บนเว็บไซต์ ผ่านบัญชีธนาคารของเราบนมือถือได้เลย ซึ่งราคาของบิทคอยน์นั้นก็อิงกับตลาดซื้อขายในตลาดโลก

 

ตลาดการซื้อขายบิทคอยน์มีข้อดีอย่างหนึ่งที่ผมชอบมากคือ ตลาดไม่มีเวลาเปิดปิดตลอด 365 วันต่อปี นั่นหมายความว่าคุณสามารถทำกำไร หรือ ขาดทุนของบิทคอยน์ได้ แม้กระทั่งยามนอน ทุกวันนี้ตลาดของคริปโตเคอร์เรนซีเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว มีเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีอยู่บนโลกมากกว่า 5,000 เหรียญ และมีประมาณ 100 เหรียญที่มีมูลค่ามากกว่า 100 ล้านเหรียญในตลาดซื้อขาย แต่ละเหรียญก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป บางเหรียญไม่สามารถขุดได้อย่างเหรียญ Ripple (XRP) หรือ Polkadot (DOT) บางเหรียญอ้างอิงกับสินทรัพย์อื่นอย่าง Tether (USDT) ที่อ้างอิงกับเงินดอลล่าร์สหรัฐเป็นหลัก และทุกวันนี้เราก็ยังมีเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีที่มาจากฝีมือคนไทยแล้ว อย่าง ZCoin (XZC), OmiseGO (OMG), JFinCoin (JFIN), และ เหรียญอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งตอนนี้แม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็พยายามสร้างเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีของตัวเองอยู่ที่มีชื่อว่า “อินทนนท์”

 

คราวนี้เมื่อย้อนกลับไปดูสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่าสูงสุดในปีที่ผ่านมาจะพบว่า บิทคอยน์ นั้นมีกำไรสูงสุดในปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยมากกว่า โลหะเงิน ทองคำ ตลาดหุ้น NASDAQ ที่สหรัฐอเมริกา ที่รวมหุ้นเทคโนโลยีเช่น Facebook Apple Amazon Netflix และ Google หรือที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่ากลุ่ม FAANG ในอนาคตจึงเป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก เพราะว่าในสมัยตอนปี 2017 บิทคอยน์ส่วนใหญ่นั้นอยู่ในมือของคนไม่กี่คนจึงทำให้บิทคอยน์สามารถปั่นราคาได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่การเข้ามาของสถาบันการเงิน กองทุนต่างๆจากทั่วโลก ทำให้ราคาของบิทคอยน์แม้จะเติบโตอย่างมาก แต่ก็ยังสร้างเสถียรภาพให้กับบิทคอยน์มากยิ่งขึ้น ทำให้ตลาดยากที่จะเกิดความผันผวนที่จะซ้ำรอยเดิมกับปี 2017 ที่ผ่านมา จึงเป็นเรื่องน่าติดตามอย่างยิ่งว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีวัคซีนออกมา และตลาดหุ้นที่ยังคงรักษาฐานไม่ได้นั้น จะทำให้ราคาของบิทคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซีรายอื่นๆวิ่งสูงถึงจุดไหน