ทยอยสะสมช่วงก่อนเลือกตั้งสหรัฐ

ทยอยสะสมช่วงก่อนเลือกตั้งสหรัฐ

การกลับมาแพร่กระจายหรือการระบาดรอบ ที่ 2 ของ COVID-19 เป็นปรากฏการณ์ ที่ไม่ได้เหนือความคาดหมาย ของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์

หลังจากที่ เริ่มมีการเปิดประเทศหรือ คลายล็อกดาวน์รอบนี้ความรุนแรงได้ขยายตัวอย่างหนักในประเทศกลุ่มยุโรป อเมริกา อินเดีย และ รัสเซีย ทำให้ประเทศในแถบยุโรป จำเป็นต้องประกาศล็อกดาวน์ เช่นใน อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และ เยอรมนี การระบาดในรอบนี้ ยังไม่สามารถควบคุมได้ และอัตราการเสียชีวิตยังคงเพิ่มขึ้นทุกวัน

ภาวการณ์ระบาด ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญ เป็นปัญหาใหม่ในโลกที่ยังควบคุมไม่ได้ และหาทางแก้ไม่ได้ และคาดว่าจะยังคงอยู่กับเราอีกนาน ถึงแม้ว่าจะมีข่าวความคืบหน้าเรื่องวัคซีน ซึ่งปัจจุบัน มี 2 ชนิดที่เข้า เฟส 3 และคาดว่าจะประกาศผลสำเร็จเพื่อนำไปสู่การผลิตขนาดใหญ่ได้ ภายในปีนี้ คือ AstraZeneca ของอังกฤษ กับ Moderna ของสหรัฐ แต่คาดว่าจะได้ใช้จริง ก็น่าจะกลางปีหน้าเป็นอย่างเร็ว ขณะที่การล็อกดาวน์ การจำกัดการเคลื่อนที่ และการปิดน่านฟ้า ทั้งหมดเหล่านี้เป็นมาตรป้องกันการแพร่ระบาดที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการลงทุน และการบริโภคในวงกว้าง ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมทรุดตัวอย่างรวดเร็ว เป็นที่มาของการคลายการล็อกดาวน์ ทำไม่เกิดภาวการณ์ระบาด รอบที่ 2 ซึ่งมีแนวโน้มรุนแรงมากกว่าการระบาดครั้งแรก เป็นปัจจัยหลักที่กดทับภาวะการลงทุนทั่วโลก อีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โพลล์ส่วนใหญ่ให้คุณโจ ไบเดน ชนะ คุณโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ไม่ว่าใครจะชนะ หากกล่าวในเชิงสถิติแล้วหลังเลือกตั้งสหรัฐ หุ้นมักจะฟื้นตัวขึ้น

ในส่วนของเศรษฐกิจในประเทศนั้นก็ต้องยอมรับว่า เรายังคงเผชิญกับปัจจัยลบใหญ่ 2 ด้าน ทั้งปัญหาการเมืองภายในประเทศและภาวะเศรษฐกิจที่เป็นผลจากการล็อกดาวน์ทำให้การท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศหายไป เชื่อมโยงปัญหาไปถึงการบริโภคที่มาจากการท่องเที่ยวก็หดตัวลง ภาวะเศรษฐกิจโลกที่หดตัวลงก็ทำให้ปริมาณการค้าขายกับต่างประเทศก็ลดลงด้วย ขณะเดียวกันการที่ตลาดหุ้นไทยไม่มีหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการล็อกดาวน์ เช่น กลุ่ม E-Commerce และ On-line Platform ทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่สามารถฟื้นตัวได้ตามตลาดหุ้นขนาดใหญ่ ใน สหรัฐ หรือจีน นอกจากนี้ ประเด็นทางการเมืองในประเทศจะนำไปสู่การประท้วงหรือการชุมนุมแบบยืดเยื้อ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นและจะทำให้บรรยากาศการลงทุน ซบเซาลง อย่างไรก็ดีตลาดจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้เมื่อปัญหาทางการเมืองคลี่คลายลง

ดังนั้น ณ เวลานี้ที่ตลาดหุ้นต่างประเทศเริ่มปรับตัวลงเพื่อรอผลการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐ ถือเป็นโอกาสอันดีในการที่จะลงทุนในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นได้ หรือใครที่อยากลงทุนอยู่ในประเทศ ก็น่าสนใจเพราะระดับราคาหุ้นในปัจจุบันได้ปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่น่าเข้าลงทุนมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นวินัยการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ คือควรจะต้องแบ่งเงินเป็นก้อนเล็กๆ และทยอยเข้าตามช่วงเวลาไม่รีบร้อนเข้าไปทีเดียว และควรลงทุนผ่านกองทุน ซึ่งมีการกระจายความเสี่ยงได้ดี และมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลในเรื่องการคัดเลือกหลักทรัพย์ การกระจายความเสี่ยงและจับจังหวะการลงทุนแทน 

ผมยังคงแนะนำให้ทยอยลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการล็อกดาวน์ โดยกองทุนภายใต้การบริหารของบลจ.วรรณที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์ดังกล่าว เช่น ONE-GECOM ONE-DISCOVERY หรือ ONE-UGG อย่างไรก็ดี กองทุนต่างประเทศดังกล่าว ถือว่ามีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ดังนั้น ผมแนะนำให้ลงทุนในลักษณะ DCA พร้อมกับพิจารณาถึงความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้นรวมถึงอัตราแลกเปลี่ยน

นอกจากนี้ ผมยังคงคาดหวังว่า ปัจจัยสงครามการค้าระหว่างจีน กับสหรัฐจะมีทางออกที่ดี การเมืองภายในของประเทศไทยจะได้ข้อสรุปในทางที่ดี ที่สำคัญที่สุดคือเราจะได้วัคซีนต้านเชื้อ COVID 19 และให้การระบาดจบลงได้ที่รอบนี้ ซึ่งจะทำให้ภาพการลงทุนปีหน้านี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน