เรื่องที่น่าเป็นห่วง...วิกฤติ Thailand Snow Ball !

เรื่องที่น่าเป็นห่วง...วิกฤติ Thailand Snow Ball !

Part 1. Thailand Snow Ball สภาวะของประเทศไทยในปัจจุบัน ตกอยู่ในสถานะคล้าย “ลูกบอลหิมะ” (Snow Ball)

ที่กำลังกลิ้งลงมาจากภูเขาหิมะ และลูกบอลหิมะลูกนี้ก็สะสมหิมะพอกตัวเองให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆในขณะที่กลิ้งลงมา

ส่วนพื้นของฐานภูเขาหิมะ ก็คือเราๆท่านๆที่ได้แต่ยืนมองตาปริบๆ ว่า ลูกบอลหิมะลูกนี้ จะตกลงมาแตกกระจายที่พื้นถาโถมใส่แต่ละคนจนได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือถูกหิมะทับดับสลาย

Part 2. Inside Snow Ball

ในลูกบอลหิมะ ประกอบด้วยก้อนหิมะสามส่วนหลักๆ..ส่วนแรกคือวิกฤติไวรัสโควิด19 ที่จะว่าไปแล้ว สถานการณ์ของบ้านเราในเรื่องนี้ยังดีกว่าหลายประเทศเพื่อนบ้านในอาเซี่ยน และยังดีกว่าหลายๆประเทศทั่วโลก แต่อย่างไรก็ตาม ใครจะไปรู้ว่า... จะมีระบาดรอบสองอีกหรือไม่และเมื่อไหร่ ยิ่งในสถานการณ์ที่นักศึกษาและประชาชนจำนวนหนึ่งยังขยันออกมารวมตัวชุมนุมกันแบบนี้..

ส่วนที่สองของลูกบอลหิมะ ก็คือสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่มาตั้งแต่ก่อนไวรัสโควิดจะระบาดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เมื่อเศรษฐกิจที่เดิมแย่อยู่แล้ว มาเจอโควิด19 ทำให้เศรษฐกิจยิ่งแย่จนถึงกับหยุดชะงักลงในหลายๆธุรกิจ

ถึงแม้ที่ผ่านมา รัฐบาลจะออกมาตรการต่างๆ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยขอความร่วมมือกับธนาคารภาครัฐและเอกชน ช่วยชะลอการชำระหนี้ให้กับลูกค้า แต่มาตรการนี้ก็หมดไปในเดือนตุลาคม ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับธนาคารแต่ละที่ว่าจะบริหารจัดการลูกหนี้แต่ละรายอย่างไรในช่วงที่ไม่มีมาตรการช่วยเหลือแล้ว

ส่วนที่สามของลูกบอลหิมะ คือสภาวะวิกฤติทางการเมือง ที่ส่งผลกระทบกับภาคธุรกิจ การลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนถึงในวันที่พิมพ์คอลัมน์ตอนนี้ (สัปดาห์ที่สามของเดือนตุลาคม 63) ยังไม่รู้สถานะของรัฐบาลว่าจะประคับประคองให้ผ่านพ้น ม็อบยุคใหม่ที่ไร้แกนนำ (แต่มีทีมนำอยู่เบื้องหลังในการปั่นกระแสผ่าน Social Network) ที่พยายามล้มรัฐบาลชุดนี้ไม่เว้นแต่ละวันได้หรือไม่?

Part 3. Snow Ball Boom!

ในท่ามกลางความวุ่นวายภายใต้ลูกบอลหิมะของประเทศไทย เมื่อไหร่ที่ถึงวันที่ ลูกบอลหิมะตกกระแทกพื้นแล้วระเบิดขึ้นมา ผลที่ออกมาคงเลวร้ายและต้องใช้เวลานานกว่าจะค่อยๆฟื้นตัวได้

คำถามคือ... เรื่องใดที่จะส่งผลมากที่สุดที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากยิ่งขึ้น ระหว่าง วิกฤติไวรัสโควิด19 หรือสภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือสถานการณ์การเมือง?

เรื่องวิกฤติไวรัสโควิด19 ที่ผ่านมาทั้งรัฐบาลและทุกภาคส่วนถือว่าทำได้ดี ดีกว่าหลายๆประเทศทั่วโลก และยังควบคุมไม่ให้เกิดการระบาดรอบสองในประเทศได้ ส่วนนี้ถือว่าเอาอยู่ในระดับหนึ่งได้ดีทีเดียว

เรื่องสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ที่เป็นกันทั่วโลก รัฐบาลก็พยายามออกมาตรการข่วยเหลือต่างๆ และเริ่มมีสัญญานที่ดีบ้างในหลายๆธุรกิจที่เริ่มกลับมาลืมตาอ้าปากได้บ้าง ( ยกเว้นธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจบริการที่พึ่งพานักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเป็นหลัก ยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะค่อยๆฟื้นตัวได้)

ลำพังเรื่องวิกฤติไวรัสโควิด กับวิกฤติเศรษฐกิจ สองส่วนนี้ในลูกบอลหิมะ ยังไม่ทำให้ลูกบอลหิมะตกลงมากระแทกพื้นจนระเบิดได้รับความเสียหายกันถ้วนหน้า...เพราะยังพอประคองไปได้อาจต้องใช้เวลาบ้าง

แต่ส่วนสุดท้ายที่จะทำให้ลูกบอลหิมะ ตกลงมาเร็วขึ้น ลูกใหญ่ขึ้นจนระเบิดก็คือ วิกฤติการณ์ทางการเมืองที่้เกิดจากม็อบนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่ออกมาขย่มขับไล่รัฐบาลทุกวัน และสื่อหลายๆเจ้าก็เปิดหน้าเชียร์ม็อบกันอย่างออกหน้าออกตา (ทั้งสื่อทีวี สิ่งพิมพ์ สื่อ Online หลายๆที่)

ตรงนี้เป็นส่วนที่ควบคุมยาก ไม่สามารถบริหารจัดการแก้ปัญหาม็อบรายวันได้ด้วยแนวคิดและวิธีการเดิมๆ สิ่งที่ควรระวังเพราะถ้าเกิดขึ้นจะก่อให้เกิดความสญเสียชีวิตคือ ม๊อบชนม๊อบ...

รัฐบาลจำเป็นต้องมีคนที่มีแนวคิดแบบคนรุ่นใหม่ แม้กระทั่งต้องดึงคนรุ่นใหม่มาช่วยรับมือม็อบรุ่นใหม่ที่คิดทันกันถึงพอจะเอาอยู่ได้ เพราะปัจจัยสำคัญของม็อบยุคนี้ใช้ทั้งกลยุทธ์และSocial Media เป็นอาวุธหลักที่มีจุดเด่นตรงที่คาดเดายาก ปั่นกระแสง่าย เพราะเดิมมีคนไม่พอใจการบริหารของรัฐบาลชุดนี้อยู่จำนวนไม่น้อยอยู่แล้ว

Part 4. What's Next!?

คำถามคือ ในภาคธุรกิจทั่วไปโดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กแบบ SME และเล็กจิ๋วแบบ Micro SME

ไปจนถึงธุรกิจขนาดกลางจะทำยังไง? (ไม่ต้องไปกังวลกับธุรกิจขนาดใหญ่ เพราะเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว)

สิ่งที่แต่ละธุรกิจพอจะทำได้ในช่วงนี้...

1.ประคับประคองธุรกิจ อย่าซ้ำเติมปัญหาประเทศที่มีมากอยู่แล้วจนล่มจมกันทั้งประเทศ เพราะท้ายที่สุด จะไม่เหลือผู้ชนะเพราะได้แต่ความสะใจบนกองซากของประเทศและธุรกิจที่ล้มระเนระนาด..

ไม่ใช่ละเลยหรือไม่ใส่ใจในเรื่องการเมือง เอาธุรกิจให้รอดก่อนจะไปเน้นความสะใจ ส่วนการเมืองก็แค่ติดตามเฝ้าดูความเป็นไป สุดท้าย ฝ่ายใดหวังดีกับประเทศชาติและประชาชนจริงๆ ฝ่ายนั้นก็น่าจะค่อยๆคลี่คลายสถานการณ์ได้ โดยไม่เกิดความเสียหายกับประเทศชาติมากไปกว่านี้

2.ประหยัดแต่ไม่ตัดเรื่องคน ต้องชื่นชมหลายธุรกิจทั้งธนาคารบางแห่ง โรงแรมบางที่ หรือธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พยายามประคับประคองปรับเปลี่ยนคนส่วนเกินที่มีให้ทำงานอื่นที่ช่วยสร้างรายได้ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม จนค่อยๆรักษาธุรกิจได้

สรุปแล้ว เราๆท่านๆในประเทศนี้นี่แหละ ที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะซ้ำเติมปัญหา สร้างปัญหา หรือเป็นส่วนที่ช่วยแก้ปัญหา หยุดยั้งปัญหาทั้งของประเทศชาติและธุรกิจของแต่ละคน

ตัดสินใจดีๆ ในสภาวะแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องเลือกข้างใครตามกระแส แต่เลือกอยู่บนความถูกต้อง โดยไม่ต้องไปร่วมสร้างซ้ำเติมปัญหา เพื่อให้ทุกคนทุกฝ่ายและประเทศผ่านพ้นสถานการณ์ไปได้ด้วยดีนะครับ.