"โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งในอเมริกา หุ้นจะลงหรือขึ้น?"

"โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งในอเมริกา หุ้นจะลงหรือขึ้น?"

การเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา เหลือเวลาอีกเพียงแค่สองสัปดาห์เศษ ผลที่ออกมาจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยตรง

ขณะนี้ Joe Bidenผู้เข้าชิงในนามพรรคเดโมแครต ได้รับการประเมินจากหลายสถาบันฯว่าจะได้รับคะแนนเสียงประมาณ 52.4% เทียบกับประธานาธิบดี Donald Trump 41.9% 

มีผู้ใช้สิทธิในการเลือกตั้งล่วงหน้า ทั้งทางไปรษณีย์และที่หน่วยเลือกตั้งแล้วกว่า13ล้านคน ผู้ใช้สิทธิ์ล่วงหน้าส่วนใหญ่เป็นพรรคเดโมแครต การหาเงินสนับสนุนเพื่อใช้ในการโฆษณาและเคาะประตูบ้านหาเสียงนั้น พรรคเดโมแครตก็สามารถระดมทุนได้มากกว่า 

แต่การเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ซึ่งเกิดตัวอย่างมาแล้วจากการเลือกตั้งเมื่อปีค.ศ. 2016 มีการประมาทวางใจว่าฝ่ายหนึ่งจะชนะแน่ จึงชะล่าใจไปใช้เสียงน้อย เพียงแค่ 55% ผลการเลือกตั้งออกมาจึงกลายเป็นแบบพลิกล็อค ครั้งนี้จึงมีการทุ่มเทของทั้งสองฝ่าย ใช้เครื่องมือทุกอย่างที่มีอยู่ เพื่อเก็บทุกคะแนนเสียง อุณหภูมิการเมืองระยะนี้ร้อนมากครับ

โรคระบาด COVID-19 ในอเมริกายังเป็นปัญหาต่อเนื่อง และไม่มีเค้าว่าจะแก้ไขได้ วัคซีนแม้เป็นความหวังอยู่ แต่ก็เป็นเรื่องอนาคตข้างหน้า ความขัดแย้งด้านการเมืองทำให้เกิดปัญหาในการประสานงานเรื่องการควบคุมการติดต่อ เช่นการเว้นระยะหรือใส่หน้ากาก แต่ละธุรกิจแต่ละเมืองยังเลือกปฏิบัติต่างกัน แล้วแต่ว่าชุมชนย่อยหรือกลุ่มลูกค้าของตนจะคิดอย่างไร ไม่มีนโยบายแห่งชาติชัดเจน 

อเมริกาจึงกลายเป็นตัวอย่างของความล้มเหลวอันดับหนึ่งของโลก ทั้งที่มีทรัพยากรและการแพทย์พยาบาลที่พัฒนามาก แต่มีผู้เสียชีวิตนับจนถึงปัจจุบันเกือบ 218,000 คนและมีผู้ติดเชื้อเกินกว่า 8,000,000 คน การติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นแทบทุกรัฐ 

สัปดาห์นี้ผู้แจ้งตกงานเพิ่มเกือบ 900,000 คน และประมาณ 25% ของชาวอเมริกันเป็นประชาชนกลุ่มหาเช้ากินค่ำ ไม่มีเงินสะสมไว้ในยามฉุกเฉิน ยังรอความช่วยเหลือจากงบประมาณฉุกเฉินรอบใหม่ ที่ยังตกลงกันไม่ได้มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม

ตลาดหุ้นของอเมริกาผันปรวนทุกวัน (ดึงและฉุดตลาดหุ้นทั่วโลกไปด้วย) บางครั้งวันละหลายรอบ ตามข่าวลือของเงินอัดฉีดจากภาครัฐที่ทุกคนกำลังรอกันอยู่ ฝ่ายบริหารเสนองบประมาณ $1.8 ล้านล้าน แต่สภาผู้แทนซึ่งพรรคเดโมแครตคุมเสียงข้างมากคิดว่าจำนวนนั้นไม่เพียงพอที่จะประคองเศรษฐกิจ จึงยังตกลงกันไม่ได้ ตัวเลขที่ทางสภาฯพยายามผลักดันคือกว่า $2.5 ล้านล้าน เมื่อมีข่าวลือว่าอาจต้องรอหลังการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นร่วงทันที แต่เมื่อมีการแก้ข่าว หุ้นก็ขึ้นมาอีก 

ทีมประธานาธิบดีคนปัจจุบันคงเห็นหนทางที่จะรักษาตำแหน่งไว้นั้นเริ่มริบหรี่ลง เวลาเหลือน้อยและกำลังการเงินก็ด้อยกว่า กลยุทธ์ในการพลิกแพลงโค้งสุดท้ายก่อนถึงวันที่ 3 พฤศจิกายน คงมีแน่ และอาจสะเทือนความมั่นใจ เป็นเหตุให้เกิดการเทขายหุ้นแบบปลอดภัยไว้ก่อน แถมหากมีการใช้เล่ห์เหลี่ยมทางกฏหมายเพื่อยืดเยื้อ หรือปฏิเสธผลของการเลือกตั้ง หรือเกิดความไม่สงบภายในสหรัฐอเมริกา ตลาดหุ้นทั่วโลกก็คงสะเทือนแน่นอน 

ท่านผู้อ่านกรุณาระมัดระวังช่วงนั้นไว้เป็นพิเศษนะครับ

ที่น่าสังเกตคือนักลงทุนตามสถาบันใหญ่ เริ่มเตรียมการไว้ว่าตลาดหุ้นของอเมริกา ถึงแม้ว่าจะเกิดผลกระทบในทางลบช่วงเลือกตั้งแต่จะกลับมาเข้มแข็งอีกแน่นอน 

อะไรที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีหุ้นของอเมริกายังเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆและแม้จะลดลงช่วงเลือกตั้ง ก็จะกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วอีก? 

คำตอบคือ 

  1. ปริมาณเงินจำนวนมากในตลาดหุ้นอเมริกา และ 
  2. แนวโน้มการปรับปรุงความสัมพันธ์กับจีน

นักลงทุนมืออาชีพอเมริกันอาจปรับเปลี่ยนทัศนคติแล้ว เดิมเคยอิงพรรครีพับลิกัน เพราะมีนโยบายให้ความสะดวกกับภาคธุรกิจและลดหย่อนภาษี แต่เนื่องจากปัจจุบันมีปริมาณเงินหมุนเวียนอยู่ในตลาดเป็นจำนวนมาก หากมีผู้นำใหม่ซึ่งเป็นพรรคเดโมแครต มาลดอุณหภูมิของการเมืองลง โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับจีน จะเห็นมูลค่าหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นAPPLE(มูลค่าหุ้นของบริษัทนี้มากกว่าตลาดหุ้นทั้งหมดของอังกฤษ) และบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ต่างๆซึ่งอาศัยระบบการผลิตรวมทั้งผู้บริโภคในจีน และบริษัทจากอุตสาหกรรมอื่นที่มีธุรกิจปูพื้นไว้ค่อนข้างแน่นหนาอยู่แล้วในตลาดจีน เช่น Starbucks Boeing Nike MasterCard JP Morgan Goldman Sachs ฯลฯ 

คาดว่าประมาณสองในสามของกลุ่มบริษัทใหญ่ในอเมริกาจะได้ประโยชน์จากการฟื้นฟูสัมพันธไมตรีกับจีน หากสหรัฐอเมริกาได้ผู้นำใหม่ตามที่คาดไว้ บริษัทเหล่านี้จะค้าขายกับจีน(และประเทศอื่นๆ)ด้วยความสะดวกมากขึ้น ทางจีนก็จะมีการผ่อนปรนเรื่องกฏข้อบังคับต่างๆ เมื่อตลาดหุ้นในอเมริกาโตขึ้นหลังจากการเลือกตั้ง ผลพลอยได้จะมาฟื้นฟูเศรษฐกิจทางเอเชียทันที

เลือกจังหวะและเวลาที่เหมาะสมตามสถานการณ์ของแต่ละบุคคล ลงทุนกับบริษัทที่ท่านมีศรัทธา ไม่เพียงแค่ผลตอบแทนทางการเงินจากการลงทุนเท่านั้น แต่ผมมั่นใจว่าท่านผู้อ่านจะลงทุนกับบริษัทที่มีนโยบายและผลงานการทะนุถนอมสิ่งแวดล้อม มีวิสัยทัศน์ชัดเจน มีจริยธรรมที่ดีและอุดมการณ์ที่สมดุลย์ครับ