รู้จักคนรุ่น ME-ME-ME

รู้จักคนรุ่น ME-ME-ME

รู้จักและเข้าใจประชากรกลุ่ม Generation Y หรือที่เกิดประมาณระหว่างปี 2523-2543 กับพฤติกรรมหลงตัวเองสุดขั้ว มองว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางทุกสิ่ง

คิดจะไปค้นนิตยสาร Time เมื่อหลายปีก่อนที่เขียนเกี่ยวกับ Generation Y ก็พอดีเจอข้อความในเว็บของคุณสรวงมณฑ์ สิทธิสมาน ซึ่งนำมาจากบทความเดียวกันและเขียนเพิ่มเติมอย่างน่าอ่าน เลยขอนำมาเผยแพร่ต่อ ชื่อของบทความคือ “Me Me Me Generation” กล่าวถึงคน Generation Y ที่เกิดประมาณระหว่างปี 2523-2543 ซึ่งมีลักษณะแตกต่างไปจาก Generation X ผู้เป็นพ่อแม่ซึ่งเกิดระหว่างปี 2503-2523

โจเอล สไตน์ ผู้เขียนบอกว่าลักษณะของ Generation Y ที่เขาเขียนถึงนี้เป็นจริงกับคนส่วนใหญ่ในสังคมเมืองอื่นๆ ด้วย ไม่เฉพาะคนอเมริกันเท่านั้น คนรุ่นนี้จะเน้นตัวเองและความต้องการของตัวเองเป็นหลัก (ME ME ME) เนื่องจากพ่อแม่สร้างความรู้สึกให้ลูกเห็นว่าตัวเขามีความสำคัญ (self-esteem) เช่น ชื่นชมให้กำลังใจอยู่เรื่อยและมากเกินไปจนกลายเป็นคนหลงตัวเอง (narcissistic) จนมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับ Generation ME ME ME ดังต่อไปนี้

คนรุ่นใหม่ (รุ่น Y) นั้นได้รับการปลูกฝังเลี้ยงดูภายใต้วัฒนธรรม “แค่เข้าร่วมก็ได้ประกาศนียบัตร” โดยไม่สนใจถึงประสิทธิผลหรือวิธีการหรือความสำคัญของการเข้าร่วม ซึ่งทำให้พวกเขามักคิดว่าหากทำงานก็ควรได้รับการโปรโมทเลื่อนขั้นทุกๆ 2 ปี โดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาที่ผลงานหรือประสิทธิภาพ การได้รับเป็นสิทธิของเขา คนกลุ่มนี้มองว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งและเป็นกลุ่มหลงตัวเอง

คนที่มี “บุคลิกภาพหลงตัวเอง” มักมีอาการและพฤติกรรม ดังนี้ 1.มีปฏิกิริยาต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความโกรธแค้น 2.เอาเปรียบผู้อื่นเพื่อตอบสนองความต้องการชนะหรือตอบวัตถุประสงค์ของตนเอง 3.มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนสำคัญมากเกินพอดี 4.มักพูดจาขยายเกินกว่าความเป็นจริงเกี่ยวกับความสำเร็จหรือความสามารถของตนเอง 5.มีใจหมกมุ่นกับจินตนาการของความสำเร็จ พลัง อำนาจ ความงาม สติปัญญา หรือรักในอุดมคติ

6.ใช้เหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลกับสิ่งที่ตนเองชื่นชม หลงใหล คาดหวัง 7.ต้องการเป็นที่ชื่นชม ยอมรับหลงใหลของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา 8.เพิกเฉยไม่เอาใจใส่ความรู้สึกของผู้อื่นและมีความพยายามน้อยที่จะแสดงความเห็นใจผู้อื่น 9.คิดหมกมุ่นอยู่กับผลประโยชน์และความต้องการของตนเอง 10 .ไล่ตามเป้าหมายที่สร้างประโยชน์ให้ตนเอง

พฤติกรรมเลี้ยงลูกของคนรุ่น X ที่ทำให้คนรุ่น Y เป็นคนหลงตัวเองมีดังนี้

ประการแรก “ลูก” เป็นศูนย์กลางของบ้าน ถ้าเปรียบเทียบกับการเลี้ยงดูของชาวจีนก็ประมาณว่าเป็นจักรพรรดิน้อยที่พ่อแม่คอยพะเน้าพะนอ อยากได้อะไรก็ได้ ไม่ว่าจะกิน จะนอน จะเล่น จะเที่ยว จะให้ลูกเป็นผู้กำหนดตั้งแต่เล็ก ยกให้ลูกเป็นผู้ตัดสินใจเพราะรักลูกอยากตามใจลูก โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้กำลังหล่อหลอมให้ลูกของเขากลายเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง และมองตัวเองว่าสำคัญที่สุด ไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น

ประการที่สอง “ลูก” ไม่เคยผิดหวัง สืบเนื่องจากการเป็นศูนย์กลางของบ้าน ผู้ใหญ่จึงไม่เคยขัดใจและตามใจมาโดยตลอด และมักมีการกระทำในบางเรื่องที่ไม่เหมาะสม เช่น เมื่อลูกอยากได้ของเล่นของคนอื่น พ่อแม่ก็จะต้องพยายามหาทางให้ลูกได้ของเล่นชิ้นนั้น ไม่ว่าจะไปขอยืมมาหรือดิ้นรนหาซื้อมาให้จนได้ เป็นต้น

ประการที่สาม “ลูก” ไม่เคยแพ้ในเรื่องการแข่งขัน โดยถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็กว่าเป็นเด็กที่ต้องชนะไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม หรือการเรียนก็ตาม ยกตัวอย่างพ่อแม่ที่เล่นกับลูก ถ้าเป็นเกมที่ต้องมีผู้แพ้ชนะ พ่อแม่มักยอมให้ลูกเป็นฝ่ายชนะตลอด ในบางครั้งที่ลูกแพ้ ลูกมักร้องไห้หรืออารมณ์เสีย แทนที่พ่อแม่จะสอนให้ลูกรู้จักการแพ้ชนะอย่างเป็นธรรมชาติและถูกต้องตามกฎกติกา และให้เขาได้รู้จักการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง พ่อแม่กลัวว่าลูกจะเสียใจเลยยอมแพ้ลูกตลอด จนเมื่อลูกไปมีสังคมของเขาเอง เมื่อเขาแพ้ก็จะรู้สึกทนไม่ได้ ไม่ชอบหน้าอีกฝ่าย หรือบางทีก็กลายเป็นโกรธผู้นั้นไปเลย

ประการที่สี่ “ลูก” ไม่เคยลำบาก ข้อนี้มักเกิดกับกลุ่มพ่อแม่ชนชั้นกลางขึ้นไปที่ไม่อยากให้ลูกลำบาก ยิ่งถ้าเป็นพ่อแม่ที่เคยผ่านความลำบากมาแล้วก็เลยมีความคิดว่าไม่อยากให้ลูกลำบากอีกต่อไป ซึ่งเป็นความคิดและความเข้าใจที่ผิด เพราะความลำบากจะทำให้ลูกมีภูมิต้านทานชีวิตที่ดี

ประการที่ห้า “ลูก” ไม่เคยแก้ปัญหา พ่อแม่จัดการแก้ปัญหาให้หมด เพราะคิดว่าลูกยังเด็ก ลูกคงแก้ปัญหาเองไม่ได้หรอก ทั้งที่บางเรื่องเป็นเรื่องเล็กๆ และเป็นเรื่องของเด็ก แต่พ่อแม่ก็ไม่ปล่อยวางให้ลูกได้ฝึกพบสถานการณ์ด้วยตัวเอง พ่อแม่เข้าไปแก้ปัญหาและจัดการให้หมด เมื่อแก้ปัญหาไม่เป็น มองไม่เห็นปัญหาของตนเองจนมักโทษว่าคนอื่นทำให้ฉันเกิดปัญหา

ประการที่หก “ลูก” ได้รับคำชื่นชมและชมเชยแบบพร่ำเพรื่อมากเกินไป การชมเชยหรือให้กำลังใจลูกเป็นเรื่องจำเป็น แต่ต้องมีความพอดีและเหมาะสม เพราะถ้าชื่นชมมากเกินไปและพร่ำเพรื่อเกินไปก็กลายเป็นการสร้างปัญหาด้วยซ้ำ เช่น ชมว่าลูกแต่งตัวสวย หล่อ หรือหน้าตาดี แต่ไม่ได้ชมที่พฤติกรรมของการทำดี ก็จะทำให้ลูกหลงและถือว่าตัวเองหน้าตาดี และนำไปสู่อาการหลงตัวเองได้

“สื่อยุคไร้พรมแดน” เป็นตัวส่งเสริมเพิ่มให้คนรุ่นนี้เกิดพฤติกรรมหลงตัวเองยิ่งขึ้น การ โพสต์รูปบน Instagram และคอยนับ “like” ที่คนกดอยู่ตลอดเวลาคือ การยั่วยุให้กลายเป็นคนหลงตัวเอง กระแสบริโภคนิยมทำให้สมาร์ทโฟนเกลื่อนเมือง ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ก้าวเข้าสู่การเป็น Generation ME ME ME ได้ง่ายขึ้น แต่ทั้งหมดนี้ถ้าได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสมและถูกวิธี มีการปลูกฝังทักษะชีวิตที่เหมาะสมกับวัยก็จะสามารถต่อสู้กับกระแสหลงตัวเองได้เป็นอย่างดี เป็นคนยกเว้นของรุ่นไป..."

“พ่อแม่รังแกฉัน” เกิดขึ้นได้เสมอถ้าไม่พยายาม “รักลูกให้ถูกทาง”